IP MAN 4 The Finale

0
9280

IP MAN 4 The Finale

“หญ้าบ้านเราย่อมเขียวกว่าที่อื่น”
ก็รู้สึกยินดีครับ หลังจากทราบข่าวการสร้างภาพยนตร์ปิดตำนานยิปมัน ชีวประวัติ ปรมาจารย์มวยหย่งชุน (วิงชุน) หลังจากลากยาวมาหลายภาค แถมมีแตกแขนงเป็นหนังยิปมันนอกไส้ติ่งที่ยาวนาน ของ หวังเจียเหว่ย(หว่อง กาไว)ด้วย จนคนดูบางส่วนอาจจะรู้สึกว่า ”ยิปมึน”สะแล้ว
ทั้งหมดที่ได้รับชมมา ถือว่า ภาคแรก ยังเป็นภาคที่ดีที่สุด มีส่วนจริงในประวัติของอาจารย์ยิปมันมากกว่าภาคอื่น แถม ภาคที่2-3 ดูจะออกเลอะเทอะเหลวไหล โชว์คิวบู๊ โอเวอร์ เกินเลย ยิ่งตอนเอา ไมค์ ไทสัน มาแสดงด้วย นี่ ต้องบอกว่า “เหลวไหล”จริงๆ
แต่ก็นั่นแหละ คนดูก็ยังรู้สึกสนุกสนานกับภาพยนตร์ชุดนี้
ก่อนที่จะไม่มีอะไรเหลือในความทรงจำ ผู้สร้างก็ตัดสินใจปิดตำนานในภาคสุดท้าย คือ IP MAN :The Finale
หลายคนชมแล้ว บ่นพึม หลายคนบอกดีมาก ก็แล้วแต่มุมมอง เพราะภาคสุดท้ายนี้ กลับไปเรียบง่าย จริงจังแบบภาคเริ่มต้น ซึ่งถ้าถามผม ผมชอบมากครับ!
ผมเพิ่งได้แผ่น บลูเรย์มา จึงอยากพูดถึงตามมุมมองของตัวเองสักหน่อย
เรื่องราวในหนังมีความจริงบางส่วนเกี่ยวกับลูกศิษย์คนโปรด คือ บรู๊ซ ลี ที่ไปเปิดโรงเรียนสอนมวยจีน ทำให้สมาคมชาวจีนในซานฟรานซิสโกไม่ค่อยปลื้มนักเท่าไหร่ จนกลายเป็นปัญหาของบรู๊ซ ลี เองที่ต้องรับคำท้าประลอง และถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บเกือบเป็น อัมพาต อันเป็นเรื่องจริงที่สามารถหาชมได้จากภาพยนตร์ประวัติบรู๊ซ ลี Dragon: The Bruce Lee Story หนังปี1993
นั่นคือเรื่องจริงที่ถ่ายทอด โดย ลินดา ลี ภรรยาของบรู๊ซ เอง


แต่ในIP MAN กลับนำเรื่องมาผูกกับ
ยิปมัน ว่า เขาเดินทางไปซานฟานซิสโกเพื่อหาที่เรียนให้กับบุตรชาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจารย์ยิปมันไม่เคยเดินทางไปแต่อย่างใดเลย
กลับเป็นบทภาพยนต์ ที่พยามประมวลเรื่องราวต่างๆในช่วงเวลาขณะนั้น มาใช้เป็นประโยชน์ เพื่อที่จะทำให้หนังยิป มันภาคที่สี่ ดูมีความสมจริงหรือ Realมากยิ่งขึ้น ก็นับว่าได้ผลดีมากๆ
คือต้องต้องชมเชยว่า ทีมเขียนบท ของเอ็ดมัน หว่อง วางพล็อตเรื่องได้สวยงามน่าติดตามชมแม้ว่าจะมีขาดวิ่น ไม่ปะติดปะต่ออยู่บ้างที่มีความเกี่ยวข้องกับบรู๊ซ ลี และอาจารย์ยิปมัน
แต่ที่ชื่นชมมากๆ คือ การคัดเลือกนักแสดง ทั้งทางฝั่งฮ่องกงและอเมริกันทำได้เหมาะสมอย่างยอดเยี่ยม รวมทั้งโปรดักชั่น ฉากต่างๆต้องถือว่าเป็นหนังที่อยู่ในระดับสากลแบบฮอลลีวูด อย่างแท้จริง
ผมสังเกตแม้กระทั่งการกำกับภาพฉากแสงสีต่างๆทำได้น่าประทับใจมาก แสงสีของยุคเก่าที่ดำเนินไปอย่างได้อารมณ์ร่วม
หนังดำเนินเรื่องในแนวทางดราม่า แอ็คชั่น มีส่วนผสมที่ค่อนข้างลงตัว และที่สำคัญอยากจะหยิบยกมาพูดถึงมากที่สุด ก็คือปรากฏการณ์ “เหยียดผิว”นับว่าเป็นการเจาะลึกประเด็นนี้ได้อย่างลึกล้ำเลยทีเดียว
ดูหนังเรื่องนี้แล้วคุณอาจจะเข้าใจเหตุการณ์ประทุที่เพิ่งเกิดขึ้นในอเมริกาเกี่ยวกับการเสียชีวิตของชายผิวสีได้เป็นอย่างดี ว่า มันมีฝังลึกจากอดีตมานานแค่ไหน
บทหนังจับเอาเหตุการณ์ แข่งขันคาราเต้นานาชาติ ปี1964 เป็นจุดเริ่มต้น มีการสาธิตมวยจีน ของบรู๊ซ ลี และย้อนหลังไปยังเหตุเจ็บป่วย อาจารย์ยิปมัน ความไม่ลงรอยกันกับบุตรชาย. ปัญหาเหยียดผิวสี เชื้อชาติที่รุนแรงในช่วงเวลาดังกล่าว
ภาคนี้ เป็นช่วงเวลาบั้นปลายชีวิต ของยิปมัน เยิ่น จื่อตัน หรือดอนนี่ เยน แสดงได้สมจริง บทกำหนดให้เชื่องช้าลง ดูว่า เขามีความทุกข์กังวลใจ แต่ก็ยัง เดินหน้าสู้กับชีวิตและการต่อสู้ อย่างสุขุมซึ่งถือว่า ทำได้ดี ตัวจริงดูยังหนุ่มแน่นอยู่ แต่แสดงเพิ่มอายุไปได้หลายสิบปี


บทบาทดราท่าก็มีจุดสะเทือนใจ ที่เรียกน้ำตาได้ไม่ยาก และ บทบาทการต่อสู้ที่ยังคงเร้าใจ เหมือนย้อนกลับไปชมภาคแรก
ผู้กำกับคิวบู๊ อย่าง หยวน เหอ ผิง (จากเดอะ แมตทริกซ์) จัดจังหวะการต่อสู้ ได้ยอดเยี่ยม ไม่เกินเลย ทั้งหมัดมวย หย่งชุน มวยจีนสำนักต่างๆ และอเมริกันคาราเต้ ที่ต้องปะทะกัน เมื่ออีกฝ่ายรุนแรง อีกฝ่ายยืดหยุ่นอย่างนุ่มนวลหนักแน่น ตามจังหวะลีลา โดยเฉพาะ ตอนยิปมัน รัวหมัดเป็นสิบเป็นร้อยๆหมัดติดต่อกัน ยังตื่นเต้นเหมือนภาคแรก
ขนาดว่าผมดูหนังประเภทนี้มามากมาย ยังต้องเกร็งตัวเอาใจช่วย อาจารย์ยิปมัน และส่งเสียงเชียร์ในใจ
ส่วนการปรากฏตัวและออกมาโชว์ลีลามวยของบรู๊ซ ลี สวมบทโดย แดนนี่ชาน (เขาเป็นนักแสดง ผู้กำกับ และช่างภาพชาวฮ่องกง)มีความคล้ายคลึงกับบรูซลี มากทีเดียว จึงถูกเลือกมาร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้
บทบู๊ ของเขานับว่าไม่เลวนะครับ ทำให้เราระลึกถึง บรู๊ซ ลี ตัวจริงในตำนานถือว่าเป็นการนำเสนอแบ็คกราวด์ของมวยจีนในแบบฉบับบรู๊ซ ที่เขาได้นำหย่งชุนของอาจารย์มาพัฒนาผสมผสานได้เป็นอย่างดีทีเดียว (ในแบบของบรู๊ซ ลี เขาเรียกว่า จีท คุน โด)


แต่เสียดายว่าบทบาท บรู๊ซ ลี เป็นเพียงแค่ องค์ประกอบเล็กๆเท่านั้น และดูเหมือนว่าความผูกพันกับอาจารย์ ไม่แจ่มชัดนักเท่าไร ด้วย
แดนนี่ ชาน ทำให้เรารู้สึกดี แตกต่างไปจากตลกร้าย ห่วยแตก ในหนัง Once Upon a Time in Hollywood ของเควนติน แทแรนติโน ที่ทำให้ บรู๊ซ ลี เป็นตัวตลกในสายตาคนดู ขนาดที่ว่าบุตรสาว ของ บรู๊ซ คือ แชนนอล ลี ยังออกมา แสดงความไม่พอใจ
แต่ IP MAN :The Finale ก็มีความสมบูรณ์ยอดเยี่ยม สมกับเป็นหนังปิดตำนาน ปรมาจารย์หย่งชุน ได้อย่างสมบูรณ์ทุกองค์ประกอบ
ไม่อยากบอกว่า ถ้าเป็นแฟนยิปมัน มาตั้งแต่ภาคแรก คุณต้องชมให้ได้ เท่านั้น ต่อให้ไม่ใช่แฟนหนังจีน ก็อยากให้มีโอกาสชมหนังเรื่องนี้ครับ นอกจากบทบาทการต่อสู้ที่ดุเดือดสมจริงแล้ว หนังยังมีประเด็นบาดลึกหัวใจผู้คนอย่างเราท่านมากมายทีเดียว
ผมชอบประโยคที่ ยิปมันกล่าวถึงการอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา ว่า เขาขออยู่ในฮ่องกงดีกว่า เพราะ
“หญ้าบ้านเราย่อมเขียวกว่าที่อื่น”

หมายเหตุ. บลูเรย์ดิสก์ โดย บูมเมอแรง ออนไลน์ คมชัด โดดเด่นทั้งภาพและเสียง

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here