มหาจักรฯ จัดงาน “JBL Exclusive Sound Preview” เปิดประสบการณ์เสียงเหนือระดับ พร้อมอัปเดตไลน์อัปผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องเสียงระดับโลกจากแบรนด์ JBL ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างเป็นทางการ ในงาน “JBL Exclusive Sound Preview” ณ M-Hall อาคารมหาจักรฯ สำนักงานใหญ่ (นานา) เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ ใหม่ล่าสุดจาก JBL และถ่ายทอดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี เสียงให้กับ ทีมงานและพันธมิตร ทางธุรกิจได้สัมผัสก่อนใคร ภายในงานผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์เสียงจากผลิตภัณฑ์ JBL หลากหลายกลุ่ม อาทิ ● ไฮไลต์แห่งปี “JBL BandBox Series” เปิดตัวครั้งแรกกับ BandBox Solo และ BandBox Trio ลำโพงดีไซน์โมดูลาร์สุดล้ำ ที่สามารถเชื่อมต่อและปรับการจัดวางได้หลากหลายรูปแบบตามสไตล์ผู้ใช้ ผสานเทคโนโลยีเสียงระดับมืออาชีพของ JBL เข้ากับความยืดหยุ่นในการใช้งาน เหมาะกับทั้งการฟังเพลงในบ้านและงานอีเวนต์กลางแจ้ง โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ที่ได้สัมผัสนวัตกรรม BandBox Series ก่อนใครในภูมิภาค ● ลำโพงปาร์ตี้ (Party Speaker) Series ใหม่ล่าสุด ได้แก่ JBL PartyBox 520, PartyBox 720, PartyBox Encore 2 และ PartyBox Encore 2 Essentialมาพร้อมพลังเสียงอันทรงพลังด้วยเทคโนโลยี JBL Original Pro Sound และไฟเอฟเฟกต์ Dynamic Light Show ที่ซิงค์จังหวะกับเสียงเพลง เพิ่มสีสันให้ทุกปาร์ตี้ รองรับ Bluetooth 5.3 และการเชื่อมต่อไมค์สำหรับคาราโอเกะ ● กลุ่มหูฟัง Open-ear รุ่นใหม่ 4 รุ่น ได้แก่ JBL Sense Lite, JBL Sense Pro, JBL Endurance Zone และ JBL Soundgear Clip ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อความสบายตลอดวัน พร้อมเทคโนโลยี OpenSound ที่ให้เสียงธรรมชาติ ฟังเพลงได้อย่างปลอดภัยขณะออกกำลังกายหรือเดินทาง รุ่น Sense Pro ยังมาพร้อมระบบ Hi-Res Audio Wireless with adaptive bass boost มอบคุณภาพเสียงระดับ Hi-Res ด้วยเทคโนโลยี LDAC ที่ส่งข้อมูลได้มากกว่า Bluetooth® ถึง 3 เท่า พร้อมระบบ Adaptive Bass Boost ที่ปรับเสียงเบสอัตโนมัติตามระดับเสียง เพื่อให้ได้เสียงชัดลึกและทรงพลังโดยไม่เกิดการบิดเบือน ● ลำโพงพกพา (Portable Speaker) JBL Grip ลำโพงพกพาขนาดกะทัดรัด ดีไซน์สปอร์ต กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP67 และสามารถหนีบติดกระเป๋าหรือจักรยานได้ เหมาะกับสายแอดเวนเจอร์ ส่วน JBL Boombox 4 ลำโพงพลังเสียงหนักแน่นในตำนาน กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง และฟีเจอร์ Powerbank ชาร์จมือถือได้ในตัว ● หูฟังเกมมิ่ง (JBL Quantum Series) นำเสนอรุ่น Quantum 950, Quantum 650 และ Quantum 250 โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี JBL QuantumSURROUND™ ที่ให้มิติเสียงสมจริงรอบทิศทาง พร้อมไมค์บูมถอดได้และระบบลดเสียงรบกวน เพื่อการเล่นเกมที่เต็มอรรถรส ช่วง Product Training โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมหาจักรฯ ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติ ฟังก์ชันการใช้งาน และจุดเด่นของแต่ละผลิตภัณฑ์ เพื่อเสริมศักยภาพให้กับทีมขายและพันธมิตร ทางธุรกิจในการถ่ายทอดประสบการณ์เสียงของ JBL สู่ผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน กิจกรรม ‘JBL Exclusive Sound Preview’ ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของบริษัท มหาจักรฯ ในการถ่ายทอดประสบการณ์เสียงคุณภาพระดับโลก พร้อมตอกย้ำบทบาทของ JBL ในฐานะแบรนด์ผู้นำด้านเทคโนโลยีเสียงที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด Line : https://lin.ee/dKalYBy Facebook : https://url.in.th/lFBvd, https://url.in.th/aKVtb Instagram : https://www.instagram.com/mahajaklife/, https://www.instagram.com/jblthailand/ Tiktok : https://n9.cl/7pelk, https://n9.cl/159tm Mahajak Service Center Tel : 1516 หรือ https://www.mahajak.com/th/
เอปสันสานต่อ Epson EcoWaste ปี 5 แค่คืนขวดหมึกเปล่า ก็ช่วยโลกได้ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าสู่ปีที่ 5 ของโครงการ “Epson EcoWaste” โครงการรีไซเคิลขวดหมึกและตลับหมึกที่ใช้แล้วจากลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการลดปริมาณขยะพลาสติก และสร้างความตระหนักรู้ในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โครงการ Epson EcoWaste เปิดโอกาสให้ผู้ใช้เครื่องพิมพ์เอปสันมีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆ เพียงนำขวดหมึกหรือตลับหมึกที่ใช้แล้วมาส่งคืนที่ร้านตัวแทนจำหน่ายและร้านค้าที่ร่วมรายการกว่า 165 แห่งทั่วประเทศ เพื่อแลกรับส่วนลด 20 บาท สำหรับการซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ในรุ่นและสีเดียวกัน โดยโครงการเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมาถึง 31 มีนาคม 2569 ล่าสุดนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร และนางสาวปวีณา ศรีตระกูล หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์และ การตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งมอบขวดหมึกใช้แล้วที่ลูกค้าได้ส่งร่วมโครงการให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเท็ค กรุ๊ป ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ได้รับมาตรฐาน Global Recycled Standard (GRS) Certification โดยมีนายฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี กรรมการผู้จัดการ และนายธนาชัย วาณิชธนศรี ผู้จัดการโครงการและนวัตกรรม เป็นตัวแทนรับมอบขวด จำนวน 51,274 ขวด น้ำหนักรวม 1,633.08 กิโลกรัม เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลเป็นโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเพื่อมอบให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน โดยโต๊ะ 1 ตัวผลิตจากขวดหมึกรีไซเคิล จำนวน 261 ขวด คิดเป็นน้ำหนัก 7.03 กิโลกรัม และเก้าอี้ 1 ตัว ใช้จำนวน 129 ขวด คิดเป็นน้ำหนัก 3.46 กิโลกรัม เอปสันเชิญชวนลูกค้าทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนขวดหมึกใช้แล้วให้กลายเป็นทรัพยากรใหม่ เพื่อสร้างชุมชนสะอาดและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2569 ผู้สนใจสามารถดูรายชื่อร้านค้าที่เข้าร่วมและเงื่อนไขโครงการได้ที่ www.epson.co.th/eco-waste
KEF เปิดตัว CODA W ลำโพงไร้สาย All-in-One รุ่นล่าสุด ลำโพงคลาสสิกร่วมสมัยที่ให้เสียงคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ กว่า 60 ปีที่ KEF มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์เสียงไฮไฟ (High-Fidelity) ที่เหนือระดับ ล่าสุด KEF ได้เปิดตัว Coda W ลำโพง All-in-One ที่ผสมผสานจิตวิญญาณดั้งเดิมของซีรีส์ Coda เข้ากับนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อมอบเสียงที่คมชัดอย่างไร้ที่ติและใช้งานง่าย สัมผัสประสบการณ์การฟังที่ครบครัน KEF Coda W ได้รับแรงบันดาลใจจาก KEF ซีรีส์ Coda ต้นฉบับที่ทำให้ผู้คนเข้าถึงเสียงไฮไฟได้ง่ายขึ้น ด้วยการผสานความแม่นยำทางเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ KEF เข้ากับการใช้งานที่เรียบง่าย ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับเสียงคุณภาพสูงได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการฟังแผ่นเสียงคลาสสิก หรือสตรีมมิ่งเพลงแบบไร้สาย Coda W ก็สามารถมอบเสียงที่เต็มอิ่มและเติมเต็มทุกพื้นที่ในห้องได้อย่างงดงาม คุณ Grace Lo, President and Head of Global Marketing ของ KEF กล่าวว่า “เราออกแบบ Coda W สำหรับผู้ที่รักพิธีกรรมของการฟังแผ่นเสียง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ปล่อยเข็มลงบนแผ่นหรือความรู้สึกที่ต้องรอ ด้วย Coda W คุณจะสามารถดื่มด่ำกับรายละเอียดอันลึกซึ้งของแผ่นเสียงได้อย่างเต็มที่ พร้อมสลับไปสตรีมเพลงใหม่ๆ ได้อย่างราบรื่น นี่คือการค้นพบเพลงโปรดของคุณอีกครั้งในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน" เทคโนโลยีเสียงที่เป็นหัวใจสำคัญ หัวใจของ Coda W คือ ไดรเวอร์ Uni-Q® เจเนอเรชันที่ 12 ซึ่งทำงานเสมือนแหล่งกำเนิดเสียงจุดเดียว โดยทวีตเตอร์จะถูกวางไว้ในตำแหน่งศูนย์กลางของวูฟเฟอร์อย่างแม่นยำ ทำให้เสียงกระจายไปทั่วห้องอย่างสม่ำเสมอ สร้างประสบการณ์การฟังที่สมจริง Coda W ให้กำลังขับรวม 200 วัตต์ ลำโพงทั้งตัวหลักและตัวรองมาพร้อมแอมพลิฟายเออร์เฉพาะสำหรับทวีตเตอร์และวูฟเฟอร์ ทำให้สามารถส่งมอบเสียงที่เต็มอิ่มครอบคลุมทั่วห้องได้จากตู้ลำโพงขนาดกะทัดรัด เพื่อยกระดับประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นไปอีก KEF ได้พัฒนา Music Integrity Engine® ซึ่งเป็นชุดอัลกอริทึม DSP เอกสิทธิ์เฉพาะของ KEF ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษสำหรับ Coda W เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ ความละเอียด และความแม่นยำของเสียงโดยรวม Coda W ใช้ Bluetooth® 5.4 aptX Adaptive™ เพื่อมอบเสียงคุณภาพสูงและมีความหน่วงต่ำสำหรับการฟังเพลงที่ราบรื่น ให้ความคมชัดที่ยอดเยี่ยมและการเชื่อมต่อที่เสถียร Codec aptX Lossless™ รองรับความละเอียดระดับ CD สูงสุด 16-bit/44.1 kHz ทำให้ลำโพงสามารถสร้างเสียงได้อย่างคมชัดไร้ที่ติและมีช่วงไดนามิกที่กว้าง พร้อมเก็บรายละเอียดที่บริสุทธิ์ของเพลงโปรดของคุณไว้ได้อย่างครบถ้วน ออกแบบมาเพื่อผู้หลงใหลในแผ่นเสียงและผู้ใช้งานยุคใหม่ Coda W ถูกออกแบบมาให้พร้อมใช้งานร่วมกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงเกือบทุกรุ่น ด้วยปรีแอมป์โฟโน (phono pre-amplifier) ในตัวที่ให้คุณเชื่อมต่อตรงได้ทันที นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth® 5.4 aptX Adaptive™ สำหรับการสตรีมเพลงคุณภาพสูงจากโทรศัพท์ แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อปได้, HDMI ARC สำหรับการเชื่อมต่อกับทีวี, USB-C สำหรับคอมพิวเตอร์ รองรับการถอดรหัสเสียงความละเอียดสูงได้ถึง 24-bit/192kHz และอินพุตอื่นๆ เช่น RCA และ Optical เพื่อรองรับแหล่งสัญญาณเสียงที่หลากหลาย ทำให้ Coda W เป็นศูนย์กลางเสียงที่ครบครันอย่างแท้จริง หากต้องการเสียงเบสที่หนักแน่นขึ้น Coda W ยังมีเอาต์พุตสำหรับซับวูฟเฟอร์โดยเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับซับวูฟเฟอร์ KEF ที่รองรับ นอกจากนี้ยังมีชุดอะแดปเตอร์ซับวูฟเฟอร์ไร้สาย KW1 (จำหน่ายแยก) ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อเป็นไปอย่างอิสระยืดหยุ่นมากขึ้น การควบคุมที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ Coda W มีแผงควบคุมที่ใช้งานง่ายบนตัวลำโพง และสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ผ่านแอปพลิเคชัน KEF Connect ซึ่งช่วยให้คุณจัดการการตั้งค่าลำโพง อัปเดตเฟิร์มแวร์ และเลือกค่า EQ ที่เหมาะสมกับความชอบส่วนตัว ดีไซน์ทันสมัยเหนือกาลเวลา Coda W มาพร้อมความสง่างามแบบมินิมอลด้วยเส้นสายที่สะอาดตาและการเก็บรายละเอียดที่ประณีต นำเสนอรูปทรงที่เหนือกาลเวลาที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับความทันสมัย สามารถเข้ากับห้องนั่งเล่น โฮมสตูดิโอ ห้องทำงาน หรือมุมอ่านหนังสือได้อย่างลงตัว มีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ Vintage Burgundy, Nickel Grey, Moss Green, Midnight Blue และ Dark Titanium แต่ละสีได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งภายในที่หลากหลายได้อย่างเป็นธรรมชาติ สรุปคุณสมบัติ • ไดรเวอร์ Uni-Q เจเนอเรชันที่ 12 ขนาด 5.25 นิ้ว เพื่อเสียงที่แม่นยำและบริสุทธิ์ • Music Integrity Engine® (MIE) อัลกอริทึม DSP เอกสิทธิ์เฉพาะของ KEF ที่ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์และรายละเอียดของเสียง • การเชื่อมต่อแบบ Plug-and-play สำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียงเกือบทุกรุ่น RCA (Phono) พร้อมปรีแอมป์โฟโนในตัว) • Bluetooth® 5.4 aptX Adaptive™ เพื่อเสียงคุณภาพสูงและมีความหน่วงต่ำ • รองรับ aptX Lossless™ สำหรับความละเอียดระดับ CD สูงสุด 16-bit/44.1kHz ผ่าน Bluetooth • การเชื่อมต่อที่ครอบคลุม สำหรับทีวี, คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และอื่นๆ (USB-C, HDMI ARC, optical, RCA (Line), subwoofer output) • กำลังขับของระบบ (ต่อข้าง): LF 70W Class D, HF 30W Class D, Max. SPL: 102dB • สายเชื่อมต่อระหว่างลำโพง C-Link ความยาว 3 เมตร (อุปกรณ์พื้นฐาน) และ 8 เมตร (จำหน่ายแยก) อุปกรณ์เสริมสำหรับความยืดหยุ่นในการจัดวาง • ขาตั้งพื้น SQ1 มีจำหน่ายเป็นอุปกรณ์เสริม มีให้เลือก 5 สี: Vintage Burgundy, Nickel Grey, Moss Green, Midnight Blue และ Dark Titanium ราคาจำหน่าย: 35,900 บาท สถานที่จัดจำหน่าย: ตัวแทนจำหน่าย KEF ทั่วประเทศ https://www.vgadz.com/kef-dealer/ #KEF #KEFListenandbelieve #KEFCodaW #KEFWirelessHiFi #KEFAUDIOTHAILAND ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โทร 02-692-5216
Flashback Sale Sale ย้อนเวลา ไล่ล่าของแรร์! สินค้าตกรุ่น | ค้างสต็อก | ตัวโชว์ | มีตำหนิ | รุ่นหายาก สินค้าจำหน่ายตามสภาพ เหมาะสำหรับซื้อสำรองเป็นอะไหล่ โอกาสสุดท้าย ไม่อยากให้คุณต้องพลาด! ราคานี้ไม่มีอีกแล้ว หมดแล้วหมดเลย! ตั้งแต่ วันที่ 31 ต.ค. 68 – วันที่ 2 พ.ย. 68 เวลา: 8.30 น. – 17.00 น. (เวลาทำการสำนักงานใหญ่) ที่บริษัท อัศวโสภณ จำกัด (สำนักงานใหญ่) ซอยรามคำแหง 24 แยก 2 โทร: 02-266-8136-8, 02-234-6467-8
AUDIOLAB 9000 Series ความน่าประทับใจในสไตล์ที่เที่ยงตรง ละเอียดลึกซึ้ง หากเราจะย้อนประวัติของบริษัท Audiolab อย่างสังเขปก็คือ เมื่อปี1983 มีการก่อตั้งบริษัทใน เคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร โดย Philip Swift และ Derek Scotland โดยในช่วงทศวรรษ 1980 พวกเขาสร้างชื่อเสียงจาก 8000A อินทิเกรเต็ดแอมป์ เป็นอย่างมาก ถือเป็นผลงานอมตะของแบรนด์ ปี 1997 มีการควบรวมกิจการกับ TAG McLaren และมีการปรับภาพลักษณ์เป็น Hi-End ล้ำสมัยขึ้น ต่อมาในปี 1980 ก็ได้โอนย้ายมาในเครือบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่ม IAG กลุ่ม IAG (International Audio Group) คือบริษัทแม่ ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเครื่องเสียงระดับโลก ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ดังหลายแบรนด์จากอังกฤษและยุโรป เช่น Audiolab, Wharfedale, Mission, Quad, Castle, Leak, Luxman, Tag McLaren Audio (เดิม) และอื่นๆ อีกหลายแบรนด์ ที่นี่ผมเคยมีโอกาสได้ไปเยือนโรงงานและบริษัทที่ถือว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวางที่สุด มีแม้กระทั่งสตูดิโอห้องบันทึกเสียงที่ล้ำสมัย พิพิธภัณฑ์ ภัตตาคาร โรงแรม และสำนักงานออกแบบ โรงงานที่สามารถเดินเครื่องจักรได้ 24 ชั่วโมง เลยทีเดียว ในการเปิดตัวเปิดตัว 9000 Series ถือเป็นช่วงยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ Premium Class นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา แนวคิดการออกแบบก้าวขึ้นสู่ความล้ำยุคยิ่งกว่าเดิม 9000 Series เป็นการยกระดับดีไซน์ให้ร่วมสมัยขึ้น โดดเด่นด้วย UI จอสี โดยมีโครงสร้างแชสซีแข็งแรงสวยงาม ให้ความพิถีพิถันทั้งเลย์เอาต์ภายใน โดยเน้นลดสัญญาณรบกวน หรือ Noise Optimization Layout อย่างดีที่สุด หัวหน้าทีมวิศวกรผู้พัฒนา 9000 Series คือ Jan Ertner ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันของ Audiolab โดยเขาและทีมงานใช้แนวคิดหลัก “ให้สเปกที่วัดได้ยอดเยี่ยม โดยไม่สูญเสียความเป็นดนตรี” • แนวปรัชญา Simplicity with Precision ภายนอกเรียบสะอาด แต่ภายในวงจรนั้น เน้นทุกรายละเอียด คัดเกรดอุปกรณ์ เพื่อให้ทุกภาคให้มีศักยภาพสูงสุด • Engineering First ให้ความสำคัญกับการทดสอบวัดผล วัดสเปกฯ จริง ควบคู่ไปกับการถ่ายทอดเสียงดนตรีที่แม่นยำ ที่สำคัญเครื่องรุ่นเรือธงนี้ จะไม่เน้นลูกเล่นเกินจำเป็น • Music First Sound โทนเสียงเน้นความเป็นธรรมชาติ รายละเอียดดี ควบคุมจังหวะและไดนามิกแม่นยำ จากตำนานที่เลื่องชื่อพัฒนาสู่ความสมบูรณ์แบบในปัจจุบัน • เครื่องเสียงในซีรีส์ 9000 ของ Audiolab มีสามโมเดลคือ อินทิเกรเต็ดแอมป์ มิวสิคสตรีมเมอร์ และคอมแพ็คดิสก์ทรานสปอร์ต AUDIOLAB 9000A เป็นอินทิเกรเต็ดแอมป์ วงจรคลาส AB ที่มีสเถียรภาพสูง ด้วยกำลังขับ 100 วัตต์ต่อแชนแนลที่ 8โอห์ม และ 160 วัตต์ต่อแชนแนล ที่ 4 โอห์ม มาพร้อม ภาค DAC ภายในตัวเอง คือ ESS Sabre ES9038PRO สามารถรองรับ PCM 32bit/768kHz, DSD512 รวมถึงซัพพอร์ต MQA Full Decoder มีอินพุต Analog RCA 3 ชุด ช่องต่อสัญญาณแบบ Balanced XLR หนึ่งชุด ภาครับอินพุต แบบดิจิตอล ออพติคัล 2 ชุด รวมถึง Coax อีก 2 ชุด พร้อมทั้งภาค Phono MM อินพุต สำหรับเล่นแผ่นเสียง มี USB Audio Interface (Type-B) จุดเด่นที่สะดุดตามากก็คือด้านซ้ายมีจอสี แสดงผลเมนูครบครัน การออกแบบนี้จะรองรับอนาคต สำหรับการอัพเกรด โดยมีทั้ง Pre-Out และช่อง Sub-Out ในตัว AUDIOLAB 9000CDT เป็นพรีเมียมซีดีทรานสปอร์ต มีภาคดิจิตอลเอาต์พุตทั้งแบบ Optical / Coaxial ภายในใช้วงจรใช้ Read-Ahead Buffering ช่วยลดค่าการอ่านผิดพลาด ให้ผลลัพธ์ทางด้าน Jitter ต่ำสุด สำหรับถาดใส่แผ่นมีความแข็งแรง พร้อมด้วยกลไกการเข้าออกที่สมูทลื่นไหล เน้นโครงสร้างลดการสั่นสะเทือนได้ดีเยี่ยม มีจอแสดงผลชัดเจน ควบคุมสะดวกด้วยรีโมตคอนโทรล เนื่องจากเป็น CD Transport จึงไม่มี DAC ภายใน และไม่มี Analog Output เพราะออกแบบมาให้ใช้คู่กับ DAC แยกภายนอกเพื่อคุณภาพสูงสุด และแน่นอนว่า สามารถต่อเข้ากับ DAC ของ AUDIOLAB 9000A ได้อย่างลงตัว เป็นซิสเต็มที่ แมตชิ่งที่สมบูรณ์แบบ AUDIOLAB 9000N แฟล็กชิพเน็ตเวิร์กสตรีมเมอร์ เป็นเน็ตเวิร์กสตรีมเมอร์รุ่นท็อป หรือรุ่นเรือธงของทาง Audiolab ให้การรองรับ UPnP / DLNA / Roon Ready รวมถึงรองรับ Spotify Connect, Tidal Connect, Qobuz, AirPlay2 อย่างครบถ้วน และเป็นรุ่นที่สนองตอบ MQA Full Decoder / Hi-Res PCM / DSD streaming มีช่องสัญญาณ Coax / Optical / AES/EBU / USB มีแอปพลิเคชัน ที่ชื่อ Audiolab 9000N ที่สามารถโหลดได้จาก Apple App Store และแอนดรอยด์ จอสี พร้อมแสดงปกอัลบั้ม ดีไซน์สวยงามในรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์เดียวกันของ 9000 Series • จุดเด่นของซีรีส์นี้โดยรวม มีดีไซน์ร่วมสมัย แข็งแรง เรียบหรู ออกแบบภาค DAC ดีเยี่ยมมาก ระบบDIGITAL CLOCKที่ช่วยลดค่า Jitter ลงต่ำสุด สร้างผลลัพธ์ด้านรายละเอียดที่ดีเยี่ยม อินเตอร์เฟสถือว่าดีกว่ารุ่นก่อนอย่าง 6000 Series เหมาะกับนักฟังที่ต้องการคุณภาพ ต่อราคาที่คุ้มค่าสุดๆ • และการเปิดตัวโปรโมชั่นทั่วโลก ด้วยโครงการโปรโมชั่น "THE PERFECT PAIR" เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับโอกาสดี สำหรับแมตช์ชุดซิสเต็มผลิตภัณฑ์ที่จับคู่กันได้อย่างลงตัวดีเยี่ยม คือเมื่อซื้อแอมปลิไฟล์หนึ่งเครื่อง (9000A) จะมีสิทธิ์ในการซื้อเครื่องเล่นทรานสปอร์ตซีดี (9000CDT) หรือเครื่องสตรีมเมอร์ (9000N) ได้ในราคาเพียง 50% โปรนี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนตลาดเครื่องเสียงได้อย่างแรงเลยครับ ตอนนี้ต้องบอกว่าตัวแทนจำหน่ายต้องส่งเครื่องออกสู่ลูกค้าทุกวันไม่ว่างเว้น และโปรพิเศษนี้ก็จะไปสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ครับ Test Report ได้รับเครื่องทั้งสามรุ่นมาจากไฮไฟ ทาวเวอร์แล้ว ผมก็จัดการแกะกล่อง ทดลองใช้งานทันที เนื่องจากเป็นเครื่องที่มีการเบิร์นมาพอสมควร จึงให้เสียงได้ลงตัว ชอบตรงที่รูปทรงดีไซน์ดูสะดุดตา สง่า เรียบขรึม คืออยู่บนพื้นฐานความเรียบง่ายสุขุม และเมื่อวางซ้อนทั้ง 3 เครื่อง จะพบว่านี่คือรูปลักษณ์เดียวกัน ด้านซ้ายเป็นจอ Display พื้นดำที่ให้รายละเอียดสวยงาม ในขณะที่ปุ่มปรับของเครื่องมีเท่าที่จำเป็น และใช้งานได้ครบถ้วน สำหรับจอดิสเพลย์ที่เป็นหน้าจอสีแบบ IPS LCD Display ขนาด 4.3 นิ้ว ความละเอียดสูง จากที่ผมใช้งานพบว่า แสดงผลได้ชัดเจน มีมุมมองกว้าง หลักๆ โดยรวมหน้าที่ของจอ จะแสดงระดับเสียง, อินพุตที่เลือก, รูปแบบสัญญาณดิจิตอล (PCM/DSD), Sampling rate แสดงเมนูการตั้งค่าระบบ, โหมดกรองดิจิทัล (Filter), โหมดแสดงผลแบบกราฟ EQ หรือ VU Meter แบบอนาล็อกจำลอง การแสดงแทร็ก แสดงปกอัลบั้มในเครื่องสตรีมเมอร์ ชอบเป็นพิเศษที่ ออกแบบได้กลมกลืนกับหน้าปัดอะลูมิเนียม เรียบหรูตามสไตล์ ในส่วนของสตรีมเมอร์ 9000N หลังจากโหลดแอปพลิเคชันมาแล้วการใช้งานต่างๆ ก็จะขึ้นอยู่กับโทรศัพท์มือถือหรือ PAD ของเราเป็นหลักครับ สะดวกง่ายดายมากๆ ครับ Audiolab ให้รีโมตคอนโทรลมาในทุกเครื่อง แต่ถ้าเลือกใช้ซีรีส์ 9000 ทั้งสามเครื่อง รีโมตบางตัวสามารถใช้ควบคุมเครื่องร่วมกันได้ในบางฟังก์ชั่น ยกตัวอย่างดังนี้ รีโมตสำหรับ 9000A จะเป็นแบบเต็มฟังก์ชั่น ควบคุมระดับเสียง เลือกอินพุต การตั้งค่า Tone Control รวมถึงสามารถควบคุมเครื่องเล่น CD Transport ซีรีส์เดียวกันได้ด้วย สำหรับรีโมต 9000CDT หน้าตาเหมือนกัน แต่ฟังก์ชั่นหลักถูกเซ็ตทำงานควบคุมภาค CD Transport เช่น Play Pause Skip Stop Eject ถ้าใช่ร่วมกับ 9000A สามารถสลับโหมดควบคุมได้ในรีโมตเดียวกัน ส่วน 9000N Network Streamer รีโมตจะมีการควบคุม Playback Input และเมนู Network ซึ่งจะใช้ได้บางฟังก์ชั่นกับแอมป์ และซีดี ทรานสปอร์ตในซีรีส์ เช่นควบคุม Volume Power Input เป็นต้น เครื่องเสียง AUDIOLAB 9000 Series ชุดนี้ได้เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว มีรีวิวเวอร์นำไปทดสอบ ซึ่งก็จะมีรีพอร์ตทั้งจากในประเทศไทยและต่างประเทศ เราจะได้ยินเสียงแห่งความชื่นชมมากมาย ดังนั้นผมจะพยายามมองในมุมของผู้ใช้งานที่รวบรัดและสรุปให้มากขึ้น เกี่ยวกับสไตล์เสียงโดยรวม โทนเสียง ความโดดเด่น ความของ 9000 Series ดังต่อไปนี้ • คุณภาพและพลังเสียงจากแอมปลิไฟร์ 9000A นับเป็นความโชคดีที่เราได้ฟังอินทิเกรเต็ด 9000A ซึ่งใช้ภาคขยายแบบคลาส AB ที่ออกแบบมาอย่างดีเยี่ยมในช่วงยุคที่แอมป์คลาส D กำลังแพร่หลายอย่างมากในขณะนี้ จุดที่โดดเด่นก็คือเรื่องของน้ำหนักเสียงที่ดูทรงพลัง เกินกว่าจะเป็นแค่แอมป์ 100 วัตต์ ให้เนื้อเสียงและชิ้นดนตรีต่างๆ ดูสมจริง แสดงความกระจ่างในน้ำเสียงดีมากๆ และส่วนที่มีอิทธิพลสำคัญอย่างยิ่งก็คือ แอมปลิไฟร์เครื่องนี้ให้การเข้าถึง “อารมณ์เพลง“ ที่สะอาดฉ่ำ อิ่มเอม ในแบบที่ทุกคนเคยยกนิ้วให้ตั้งแต่ยุค 8000A แต่ทว่า 9000A จะเหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็คือในเรื่องของ Detail รายละเอียดต่างๆ นับว่าทำได้ยอดเยี่ยม ด้วยบุคลิกเสียงที่ดูมีชีวิตชีวา น้ำหนักเสียงที่มีความพอดี กลมกล่อม เวทีเสียงเปิดกว้าง มีความตรงไปตรงมาเหมือนน้ำเสียงแอมป์ระดับซูเปอร์ไฮเอ็นด์ เมื่อนำมาฟังกับเพลงที่บันทึกดีๆ ก็จะให้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมมากครับ ข้อแนะนำการจับคู่ลำโพง ควรจับคู่ลำโพงที่มีโทนเสียงค่อนข้าง ตรงไปตรงมา เพราะด้วยพลังขับที่ดี จึงแนะนำให้ใช้กับลำโพงที่มีบุคลิกเสียงแม่นยำ ก็จะยิ่งได้รับการตอบสนองดีในย่านกลาง-สูง เสียงจะเปิดกว้างสมจริง มีความสมดุลของย่านความถี่ทั้งแหล่งโปรแกรมสตรีมมิ่งและแผ่นซีดี ได้อย่างใกล้เคียงกัน ต้องขอบคุณการออกแบบที่มองอย่างรอบด้าน ทำให้ AUDIOLAB 9000A คือแอมป์ที่ครบเครื่อง เหมาะทั้ง Analog & Digital Source, ฟังได้หลากหลายแนว ตั้งแต่ ป็อป แจ็ซ ไล้ท์มิวสิค เพลงไทย ไปจนถึงคลาสสิกวงขนาดใหญ่ โดยเฉพาะภาค DAC ในตัวเอง ที่ทำหน้าที่ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยเสียงแม่นยำเที่ยงตรงครบทุกรายละเอียดอย่างแท้จริง ภาคปรีโฟโน แม้จะให้มาเฉพาะเกนขยายหัวเข็มMM แต่ถือว่า น้ำเสียงคุ้มค่ามาก ฟังเสียงแล้ว จะได้ความรู้สึกที่ว่า เต็มอิ่มทุกอารมณ์ ในเพลงทุกสไตล์ ตอบสนองทุกพลังเสียงทุกรายละเอียด ด้วยความเที่ยงตรง แทบไม่พบในอินทิเกรเต็ดแอมป์ในระดับราคานี้ • คุณภาพและน้ำเสียงจาก 9000CDT สำหรับ 9000CDT เป็น CD Transport รุ่นเรือธงเพียงรุ่นเดียวในซีรีส์ ได้ออกแบบให้ทำหน้าที่ “ส่งสัญญาณดิจิตอล” ไปให้ DAC ภายนอก หรือจะเป็นภาค DAC ภายในของ 9000A เอง จากการทดสอบคู่กัน ผมอยากจะสรุปสั้นๆ แบบตรงใจเลยก็คือ “Excellent Matching” จริงๆ ครับ เพราะมันได้ถูกสร้างขึ้นมา “เพื่อกันและกัน” อยู่แล้ว ผมชอบน้ำเสียงที่ให้รายละเอียดสมจริง ไม่ใช่โทนเสียงที่ถูกตกแต่งให้อบอุ่นเกินไป หรือทำให้ช่วงปลายสดเกินจริง ดังนั้นต้องถือว่านี่คือเสียงแห่งความแม่นยำและความสมจริงที่เราได้ฟังจาก CD Transport และ DAC ของแอมป์ที่อยู่ในอินทิเกรเต็ดแอมป์ลงตัวอย่างยิ่ง ในฐานะซีดีทรานสปอร์ตต้องยอมรับว่าเครื่องรุ่นนี้ ให้เสียงกลางที่สวยงามมาก เปิดโปร่งโล่งในชิ้นดนตรี ทุกอย่างได้มาจากองค์ประกอบที่ดี รวมถึงการใช้โครงสร้างอะลูมิเนียมที่แข็งแรง ช่วยลดแรงสั่นสะเทือน และมีการ Shield ป้องกันสภาพแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic shielding) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบให้เสียงมีคุณภาพสูง”เหนือธรรมดา” อีกทั้งภายในวงจรมีทีเด็ดก็คือ มีการออกแบบวงจรควบคุม Jitter ด้วย Clock คุณภาพสูง มีระบบป้องกันสัญญาณรบกวนที่ทรงประสิทธิภาพ และช่วยรักษาคุณภาพสัญญาณดิจิตอลอันแม่นยำเที่ยงตรงก่อนส่งให้ภาค DAC ภายนอก ผมไม่ได้เป็นเทคนิคเชียน แต่ในทางเทคนิค ได้พบข้อมูล 9000CDT จากแล็บเทสท์แห่งหนึ่งที่เขาระบุไว้ว่า เรื่องการให้ค่าเหลื่อมเวลาดิจิตอลนั้นทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ คือ Jitter ~ 118 psec สำหรับ CD input (16-bit) และ ~ 8 psec สำหรับ 24-bit input (แม้ในความเป็นจริงแล้วอุปกรณ์นี้เป็น Transport ที่ส่งสัญญาณดิจิทัลไปยังภาค DAC) มีค่าความเพี้ยนทาง THD เพียง Distortion: ~ 0.0003% ที่ 0 dBFS (1 kHz) ตามการทดสอบรวมทั้งระบบ ค่าเหล่านี้ถือว่ายอดเยี่ยม สำหรับ CD Transport ที่มี Jitter ต่ำมาก โดยเฉพาะ ~8 psec และ Distortion ที่ต้องบอกว่า เป็นเรื่องทางอุดมคติเลยทีเดียว ในแง่ของรูปแบบดีไซน์ ในปัจจุบันเครื่องเล่นซีดีหรือซีดีทรานสปอร์ต เริ่มนิยมออกแบบช่องใส่ซีดีแบบ Slot แต่ทาง Audiolab ยังคงทำแบบ Tray-loading (ถาดใส่แผ่น) ซึ่งมาพร้อมกับกลไกที่มีความสมูทอย่างมาก การใช้แบบถาดใส่แผ่นอาจจะทำให้เปลืองพื้นที่ด้านหน้าเครื่อง แต่ดีมากตรงลดโอกาสขีดขูดของแผ่น เพราะเราจะวางแผ่นลงบนถาดได้ตรงๆ ไม่ต้องสอดเข้าในช่อง ย่อมมีความสึกหรอน้อยกว่า เพราะไม่มีลูกกลิ้งยาง (roller) หรือเฟืองที่ต้อง “ดึงแผ่น” เข้า-ออก ระบบบ่อยๆ 9000CDT มีระบบกันสั่น (anti-vibration) และโครงสร้างถาดที่หนาแน่น ช่วยให้การหมุนแผ่นนิ่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการส่งผ่านสัญญาณดิจิตอลที่แม่นยำมากขึ้นด้วย จุดที่พิเศษอีกประการหนึ่ง คือการรองรับการใช้งานดิจิตอล USB โดยมีพอร์ต USB-A ที่รองรับไฟล์ WAV, WMA, AAC, MP3 (ทางช่อง USB /HDD ที่ใช้อัพเดทเฟิร์มแวร์ในอนาคต) ทำให้มีความสามารถในการฟังเพลงได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าคุณจะใช้ซีดีทรานสปอร์ตเครื่องนี้สำหรับใช้กับ DAC เครื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่จาก 9000A ก็ตาม ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่คุ้มค่าอย่างมาก แต่ถ้าให้ดี ก็คือจับคู่ใช้ด้วยกันกับอินทิเกรเต็ด 9000A ส่งผลต่อรู้สึกได้ถึงความแมตช์ ความลงตัวที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเลยครับ การอ่านแผ่นเมื่อใส่แผ่นลงไปจะใช้เวลาสำรวจข้อมูลและแจ้งกลับบนดิสเพลย์ประมาณ 10 วินาที อาจจะไม่ได้ไวปานสายฟ้า แต่ไม่ช้าอืดอาดแน่นอน ผมว่ากำลังดี การที่ผมมีคอลเลคชั่นแผ่นซีดีมากพอสมควร การได้ตัดสินใจซื้อ 9000CDT รุ่นนี้มาใช้งานเป็นการส่วนตัวในห้องฟัง ด้วยวิเคราะห์แล้วว่า ให้ความคุ้มค่าทั้งระบบการใช้งาน และคุณภาพเสียงในฐานะทรานสปอร์ตที่ดีเยี่ยม ซึ่งไม่อาจหาได้จากแบรนด์อื่นในราคานี้อย่างแน่นอน สุดท้ายแล้ว ความประทับใจเป็นเรื่องของรายละเอียดเสียง และความแม่นยำเที่ยงตรงของสัญญาณ ที่จัดว่า AUDIOLAB 9000CDT มีความน่าพึงพอใจอย่างยิ่งคือ สามารถทำให้เรามั่นใจได้ว่าคุณภาพเสียงมีความเที่ยงตรง ทุกสิ่งที่ได้ยินใกล้เคียงกับสิ่งที่สตูดิโอได้บันทึกมา • คุณภาพเสียงจาก 9000N ดังที่เรียนว่า 9000N ถูกออกแบบมาเพื่อนักฟังในระดับออดิโอไฟล์โดยตรง เพราะฉะนั้นตั้งแต่โครงสร้างไปจนถึงวงจรระบบปฏิบัติการต่างๆ ของสตรีมเมอร์เครื่องนี้จึงสนองตอบนักเล่นในระดับมือโปรจริงๆ สิ่งใดที่ไม่ใช่มาตรฐานหลักจะตัดทิ้งไป โดยเน้นโครงสร้างสวยงามน่าประทับใจ ระบบวงจร ระบบปฏิบัติการภายใน ล้ำสมัย และมีหลายสิ่งที่ Audiolab ออกแบบขึ้นมาเองเพื่อสนองตอบการใช้งานของออดิโอไฟล์โดยเฉพาะ บนหน้าปัดเครื่องเรียบง่ายมาก เหมือนถอดแบบมาจากแอมปลิไฟร์ 9000A และ 9000CDT ให้ความรู้สึกที่ทรงคุณค่า มีเพียงปุ่มปรับสองปุ่ม และปุ่มสแตนด์บาย ด้านซ้ายมีจอดิสเพลย์ แสดงผลทั้งการเซ็ตอัพ การสั่งงาน หรือชมรายละเอียดปกอัลบั้ม ที่สามารถใช้รีโมตสั่งการเมนูที่สำคัญ ซึ่งลึกลงไปในฟังก์ชั่น ตั้งแต่การตั้งค่าไปจนถึงรายละเอียดการปรับแต่งที่มากพอดู อาทิเมนู MENU ฟิลเตอร์ ระดับโวลุ่ม การเลือก MQA Decoding รวมถึงออพชั่นของดิสเพลย์ ที่ต้องใช้รีโมตโดยตรง ส่วนในแง่การเพลย์แบ็ค หรือเลือกสรรเพลงจากแหล่งผู้ให้บริการ แนะนำให้โหลดแอปลิเคชั่น Audiolab 9000N มาใช้งานครับ การปรับค่าต่างๆ ในเมนู โดยเฉพาะเรื่องของฟิลเตอร์นั้น จะมีรายละเอียดหยุมหยิมมากมายพอสมควร จึงควรทดลองเล่น ศึกษารายละเอียด ก่อนใช้งานจริงจัง เพราะมีผลต่อบุคลิกเสียงและคุณภาพหรือความชื่นชอบเฉพาะตัวของคุณ รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้งาน หรือเมนูการปรับแต่งเหล่านี้มีรีวิวเวอร์ได้นำเสนอกันไปมากมายพอสมควรแล้ว จึงขออนุญาตที่จะไม่ลงลึกในรายละเอียด ผมคิดว่าท่านผู้อ่าน หรือผู้ใช้งานสามารถที่จะไปทดลองปรับแต่งดูเองได้ ให้เริ่มจากค่ารีเซ็ทของโรงงานแล้วลองปรับเปลี่ยนดู บางทีท่านอาจจะได้พบกับน้ำเสียงซึ่งถูกใจโดยเฉพาะของท่านเอง แต่ละอินพุตจะรองรับรายละเอียดแตกต่างกันไป นอกจากใช้เครื่องเป็นสตรีมเมอร์แล้วก็ยังสามารถที่จะนำไฟล์เพลงที่เราเก็บไว้ใน NAS หรือคอมพ์มาเล่นผ่าน DAC ในตัวของ 9000N ได้ รองรับฟอร์แมตช์รายละเอียดสูงได้กว้างขวางมาก คุณสมบัติสำคัญที่โดดเด่นของรุ่นนี้ คือใช้ชิป DAC ระดับไฮเอ็นด์ ESS Sabre ES9038Pro 32-bit ที่มีหลายช่องสัญญาณ multi-channel(ชิปเซ็ตชุดเดียวกับใน9000A)ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด มีโปรเซสเซอร์ Quad Arm CortexA53 ความถี่ 1.8GHz ต่อคอร์ เพื่อจัดการระบบสตรีมมิ่งและการแสดงผลแบบมัลติทาสก์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้การรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Wi-Fi (2.4/5GHz) และ Ethernet พร้อมโปรโตคอล UPnP / OpenHome เพื่อใช้งานเป็น Network Player ได้อย่างเต็มรูปแบบ และในความสวยงาม ด้วยหน้าจอ ขนาด 4.3 นิ้ว (800×480 พิกเซล ) แสดงภาพอัลบั้ม, ข้อมูลเพลง, รูปแบบไฟล์เสียง และสามารถตั้งให้แสดง VU Meter ได้ด้วย ในการใช้งาน ให้การรองรับไฟล์ PCM สูงสุดถึง 32-bit / 768 kHz และ DSD สูงถึง DSD512 (Native) ที่พิเศษ คือรองรับการถอดรหัส MQA แบบ Full Decoder ซึ่งหมายถึงสามารถทำ “three-fold unfold” ภายในตัวได้ ไม่ใช่แค่ Renderer ตรงนี้ผมขอขยายความเล็กน้อยตามความเข้าใจนะครับ คือระบบ MQA นั้น ถูกออกแบบมาให้บีบอัดสัญญาณระดับสูงแบบไฮเรส ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สตรีมได้สะดวก เช่นผ่านTIDAL โดยไม่เสียข้อมูลสำคัญของต้นฉบับ แต่การจะเล่นให้ได้ เต็มคุณภาพ ต้องผ่านกระบวนการUnfold หรือคลี่ไฟล์เสียงทีละชั้น เหมือนการเปิดข้อมูลคลี่ออกมาสามชั้นหรือสามระดับโดยไม่ต้องพึ่งพาซอฟท์แวร์ภายนอกจึงเรียกว่าเป็น Full MQA Decoderทำให้ได้คุณภาพเป็นธรรมชาติเทียบเท่าระดับStudio นี่คือกระบวนการของ9000Nที่สามารถเข้าไปปรับในเมนูได้ ให้การรองรับบริการสตรีมมิ่งระดับ Hi-Res และฟีเจอร์อย่าง TIDAL Connect, Spotify Connect, Qobuz, TuneIn Radio รวมถึงรองรับระบบ Roon Ready ครบถ้วน ระบบเชื่อมต่อและเอาต์พุต มีช่องเอาต์พุต อนาล็อกแบบ Balanced (XLR) และ Single-ended (RCA) ซึ่งให้ความยืดหยุ่นสูงทั้งในระบบปรีแอมป์หรือแอมป์ที่รองรับ XLR มีช่องดิจิตอลเอาต์พุต (optical & coaxial) พร้อมฟังก์ชัน “MQA pass-through” สำหรับผู้ที่มี DAC แยกอยู่แล้ว อินพุต/เชื่อมต่ออื่นๆ ได้แก่ USB-B (สำหรับ PC/Mac), ช่อง USB storage, Ethernet และ 12V Trigger การทดสอบใช้งาน มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความเพลิดเพลินในการฟังเพลงจากแหล่งโปรแกรม จากผู้ให้บริการสตรีมมิ่งต่างๆ โดยไม่มีข้อกังวลอย่างความราบรื่น แอพ 9000N ทำงานง่าย ราบรื่น สะดวกจริงๆ ความโดดเด่นในด้านคุณภาพเสียง ผมรู้สึกได้ว่า น้ำเสียงนั้นคงไว้ซึ่งบุคลิกแนวเดียวกันกับแอมป์ 9000A และ 9000CDT คือเสียงสะอาดสะอ้าน ราบรื่น รายละเอียดสูง บางเพลงทาง Streaming อาจจะให้รายละเอียดช่วงปลายเสียงได้มากกว่า 9000CDT ด้วยซ้ำไป โทนเสียงค่อนข้างแม่นตรง มีความเป็นกลางมาก ราวกับว่าเราได้ฟังเสียงแบบไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น ให้ความโปร่งใส รายละเอียดระยิบระยับดีมาก อีกประการหนึ่งที่สำคัญเป็นเรื่องของเวทีเสียงและการแยกแยะชิ้นดนตรี ต้องถือว่าดีกว่าคู่แข่งในระดับใกล้เคียงกันหลายรุ่น เมื่อฟังเพลงที่มีรายละเอียดสูง (PCM, DSD, MQA) การมีฟิลเตอร์เสียงให้เลือกหลายแบบเพื่อปรับแต่งโทนเสียงตามชอบนั้น เสมือนการปรับบุคลิกเครื่องให้ตรงกับบุคลิกของเราได้อย่างน่าประทับใจ การไม่มี Bluetooth และไม่มี Chromecast ในรุ่นนี้ คือข้อจำกัดอันเล็กน้อย หรือช่องอินพุตดิจิตอลที่ไม่มีช่อง Coaxial/Optical สำหรับรับสัญญาณจากอุปกรณ์ภายนอก แต่ที่สำคัญมีเอาต์พุตดิจิตอลให้คุณสามารถอัพเกรดได้กับ DAC ระดับสุดยอดในอนาคต อาจจะเป็นจุดมุ่งหมายที่ว่า เครื่อง 9000N ออกแบบมาเพื่อการเล่นสตรีมมิ่งสำหรับมือโปรจริงๆ และสำหรับท่านที่คิดว่าอยากจะฟังเพลงผ่านระบบไร้สายพื้นฐาน Bluetooth ก็ไปเล่นที่ตัว AUDIOLAB 9000A ได้ครับ 9000N เหมาะสมมากๆ กับผู้ฟังที่มีชุดลำโพงและระบบเครื่องขยายเสียงคุณภาพดี และอยากได้ Streamer/DAC ที่ “ให้เสียงสมจริงอย่างถึงที่สุด” เหมาะกับผู้ที่มีไฟล์เพลงความละเอียดสูงและใช้บริการสตรีมมิ่งคุณภาพ (เช่น Tidal, Qobuz) เพราะรองรับไฟล์คุณภาพสูงได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าลำโพงหรือระบบเสียงของคุณ “โดดเด่น” อยู่แล้ว การใช้ 9000N จะช่วยให้ฐานเสียงดีขึ้น ที่สำคัญ ถ้าอยากจะพบกับความแตกต่างอันละเมียดละไมยิ่งขึ้น และขอแนะนำเลยว่าช่อง XLR ที่เชื่อมต่อเสียงอนาล็อกให้กับภาคขยายของแอมปลิไฟร์ จะทำให้คุณเข้าได้ถึงส่วนนี้ ที่ลึกล้ำยิ่งขึ้นในคุณภาพเสียงที่ว่า เหมือนได้ฟังเสียงจากสตูดิโอนั่นเองครับ AUDIOLAB 9000 Series คือนวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อการฟังเพลงที่เข้าถึงทุกรายละเอียดทียอดเยี่ยม ด้วยความน่าประทับใจในสไตล์ที่เที่ยงตรง ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งครับ • ขอสรุปดังที่เรียนไว้เบื้องต้นว่า ขณะนี้ตัวแทนจำหน่ายคือ ไฮไฟ ทาวเวอร์ มีโปรโมชั่น “THE PERFECT PAIR" เนื่องจากผู้ออกแบบและผู้ผลิตเองต้องการให้ผู้บริโภคในระดับออดิโอไฟล์ ได้รับคุณภาพเสียงที่แมตช์กัน อย่างแท้จริง จึงมีโปรโมชั่น ซื้อ AUDIOLAB 9000A สามารถซื้อสตรีมเมอร์ 9000N และซีดีทรานสปอร์ต 9000CDT ในราคาลด 50% ดังนั้นถ้าใครมีความพร้อมก็ไม่อยากให้พลาดนะครับ • โปรโมชั่น "THE PERFECT PAIR" เมื่อซื้อ AUDIOLAB 9000A (Integrated Amp) ราคาพิเศษ 79,900 บาท มีรับสิทธิ์แลกซื้อ AUDIOLAB 9000N (Streamer) จากราคาพิเศษ 100,000 บาท... ลด 50% เหลือเพียง 50,000 บาท หรือ AUDIOLAB 9000CDT (CD Transport) จากราคา 39,900 บาท... ลด 50% เหลือเพียง 19,950 บาท วันนี้ - 31 ธันวาคม 2568 นี้เท่านั้น! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ HiFi Tower (ปิ่นเกล้า) โทร : 02-881 7273-5 โทร : 081-682 7577
Lii Song YUN Crystal-6 ลำโพงฟูลเรนจ์ที่น่าประทับใจ หลังจากได้ทดลองฟังรุ่นเริ่มต้น Lii Song AL-3 มาแล้วแบบไม่คาดหวังอะไร แต่แล้วในที่สุด ความดีงามของลำโพงนั้นเองที่ทำให้ ผมก็กลายมาเป็นเจ้าของลำโพง Full-range จนได้ และเมื่อก้าวขยับขึ้นมาในซีรีส์สูงขึ้นไปอีก ที่มีตัวขับใหญ่ขึ้น ใส่เทคนิคที่ล้ำๆ เข้าไป ผลปรากฏว่า ต้องขออนุญาตมารีวิว อีกสักรุ่นเถอะครับ เพราะแค่ตัวตู้ที่มีความเงางามลายไม้คล้ายกระจก (Piano Finish) ซึ่งผลิตจากโรงงานที่ผลิตเปียโน ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดี และดอกลำโพงตระการตาขนาดนี้ ก็เทใจไปก่อนได้ฟังตามสมควร ดังนั้น แบรนด์จีนระดับไฮคลาสแบบนี้ จะเป็นตัวอย่างที่ดีว่า ผลิตที่ไหน อยู่ที่คุณภาพ ไม่ใช่เพราะ Made in China จะด้อยค่ากันได้ง่ายๆ ครับ Lii Song YUN Crystal-6 คือลำโพงแบบวางหิ้งที่มีตัวขับฟูลเรนจ์ ขนาด 6.5 นิ้ว ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูง มีความแม่นยำ ให้เสียงที่มีความอบอุ่นและมีพลังเบสที่ลึกเกินกว่าขนาดตัว เหมาะสำหรับห้องฟังขนาดกลางๆ ทั่วไป ตัวขับเดี่ยวแบบ Crystal-6 ใช้ไดรเวอร์โลหะแบบ Full-range ซึ่งเป็นกรวยโลหะเฉพาะตัวพร้อมแม่เหล็กนีโอไดเมียม ช่วยให้การตอบสนองไว (Sensitivity สูง) และทำให้ลำโพงสามารถขับได้ดี แม้ใช้กับแอมป์วัตต์ต่ำ เช่น แอมป์หลอด หรือแอมป์คลาส A เล็กๆ การออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีพิเศษ ผลิตโครงสร้างที่แข็งแรง ด้วยจุดประสงค์เรื่องเสียงสะอาด เฟรม (โครงลำโพง) จึงทำจากวัสดุแข็งแรงแบบ Die-cast หล่อขึ้นรูป เพื่อลดการสั่นของโครงสร้าง ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงผิดเพี้ยนได้ การออกแบบโครงสร้างนี้ช่วยให้ได้เสียงที่ “นิ่ง” และ “สะอาด” ไม่มีเสียงรบกวนจากโครงลำโพง ตัวขับรุ่นนี้ ขึ้นชื่อเรื่องให้เสียงที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะในย่านกลางและแหลมที่ถ่ายทอดเสียงดนตรีได้สะอาดดีเยี่ยม รูปแบบการทำงานจะ “ไดเร็ค” ตรงจากขั้วไบดิ้งโพสต์ของลำโพง มาถึงตัวไดรเวอร์ โดยไม่มีครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค โดยที่ตัวตู้มีการเจาะพอร์ตแบบเป็นเส้นตรงอยู่ด้านหน้า จุดเด่นคือไดรเวอร์โลหะสีทองที่ผ่านการปรับจูนเพื่อให้เสียง โปร่ง ใส ละเอียด โดยไม่เกิดปัญหาเสียงแหลมแสบหู ซึ่งมักเกิดกับกรวยโลหะทั่วไป และพิเศษยิ่งไปกว่านัันคือเฟสปลั๊ก และช่วงดอกลำโพงขนาดเล็กที่เหมือนมาซ้อนตรงศูนย์กลาง ที่จะช่วยทำให้เสียงกลางแหลมกระจายเสียงอย่างเป็นระบบ ลึกลงไปในเฟสปลั๊ก และดอกลำโพงเล็กตรงกลางที่ขึ้นรูปเป็นเนื้อเดียวกัน ของลำโพง Lii Song YUN Crystal-6 นั้นน่าสนใจมาก หลังจากที่ได้รับลำโพงฟูลเรนจ์ คู่นี้มาทดลองฟัง ผมพยายามสังเกตความผิดแผกแตกต่างไปจากลำโพงอื่นๆ ที่น่าสนใจก็คือ เรื่องของเฟสปลั๊ก และดอกลำโพงซ้อนอยู่ตรงกลางของกรวยลำโพง นี่เป็นเทคนิคการทำดอกลำโพงเหมือนซ้อนกันอยู่ แต่จริงๆ คือรูปทรงที่เป็นเนื้อเดียวกัน จากการสังเกตแบบละเอียดใน Crystal‑6 เฟสปลั๊กมีรูปร่างปลายแหลม แบบ Bullet หรือ Cone มีช่องระหว่างปลายเฟสปลั๊กกับ “กรวยเล็ก” ที่บานขึ้นมาเป็นดอกเหมือนซ้อนอยู่ตรงกลาง ที่ต้องการสร้างพลังที่แม่นยำ จาก “Venturi Effect” Venturi Effect คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ “ของไหล” เช่น อากาศ น้ำ หรือก๊าซไหลผ่าน ท่อที่แคบลง เมื่ออากาศไหลผ่านจุดที่แคบ ความเร็วของมันจะเพิ่มขึ้น ขณะที่ความดัน (Pressure) ของมันจะลดลง อธิบายแบบฟิสิกส์ Venturi Effect มาจาก สมการของ Bernoulli ซึ่งบอกว่า เมื่อของไหล ไหลเร็วขึ้น ความดันในบริเวณนั้นจะต่ำลง อาทิในชีวิตประจำวัน การบีบสเปรย์ฉีดน้ำหอมผ่านช่องแคบ การทำงานเชิงฟิสิกส์ในคาบูเรเตอร์ หรือท่อแคบของเครื่องวัดอัตราการไหล (Venturi meter) จะใช้หลักการนี้วัดอัตราการไหลของของเหลวภายในในท่อ เทคนิคการออกแบบที่เกี่ยวกับดอกลำโพง Lii Song Crystal‑6 ที่จะต่างไปจากตัวขับเสียงฟูลเรนจ์อื่นๆ คือ ช่องระหว่าง กรวยลำโพง กับเฟสปลั๊ก เป็น “ช่องแคบ” เมื่อคลื่นเสียง คือการเคลื่อนที่ของอากาศไหลผ่านช่องนี้จะเกิดความเร็วของอากาศเพิ่มขึ้น ความดันลดลงเล็กน้อย สิ่งนี้ช่วยเร่งการปล่อยคลื่นเสียง จากใจกลางกรวยให้ “อิสระเปิดโปร่ง” และลดเรโซแนนซ์ หรือการสะสมพลังงานเสียงในจุดศูนย์กลางทำให้เสียงออกมา สะอาด โปร่ง และกระจายได้ดี รูปแบบดีไซน์อันแยบยลนี้ ช่วยเร่งการไหลของอากาศ และลด Standing Wave นั่นคือเทคนิคทางอะคูสติก + ฟลูอิดไดนามิกส์ ที่ใช้ในลำโพงฟูลเรนจ์ขั้นสูง ส่วนตัวของ Phase Plug นั้นเป็นตัวจัดการ “เฟส” ของคลื่นเสียงจากศูนย์กลางกรวย โดยช่วยให้คลื่นจากทุกส่วนของลำโพง “เดินทางอย่างมีระเบียบ” ไม่หักล้างกัน ผลคือเสียงที่ใส ชัด ละเอียด และไม่แหลมบาดหู แม้จะใช้กรวยโลหะ เพราะเทคนิคการควบคุมการสั่นของกรวย (Damping) ทำให้เสียงไม่กระด้าง จากผลการทดสอบ สามารถให้รายละเอียดเสียงสูง ในระดับ Micro-detail ชัดเจนมาก ให้เสียงที่มีความแม่นยำสูงและไดนามิกที่สมดุล เหมาะสำหรับดนตรีหลากหลายแนว ทั้งเพลงร้อง เพลงเครื่องดนตรีเดี่ยว แจ๊ส หรืออคูสติก รวมถึงเพลงร็อค และวงออเคสตรา Lii Song YUN Crystal-6 เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบลำโพง Full-range ที่ต้องการประสิทธิภาพที่ดีในรูปแบบที่สวยงามและกะทัดรัด Lii Song YUN Crystal-6 นั้นมีค่าความไวสูง ในระดับ High Sensitivity โดยมีความไวอยู่ราวๆ 95-98 dB ซึ่งจัดว่าสูงมากเมื่อเทียบกับลำโพงทั่วไป ข้อดีคือใช้แอมป์ตัวเล็กๆ ขับได้เสียงดังเต็มที่ เหมาะมากกับการจับคู่กับแอมป์หลอดวัตต์ต่ำ เช่น 2A3, 300B, EL34 เป็นต้น ในแง่ของตู้ ออกแบบให้เสียงแสดงศักยภาพสูงคล้ายกับตู้เปิดหรือตู้ฮอร์น ดังนั้น Lii Song ออกแบบตัวขับเสียงเดี่ยวฟูลเรนจ์ Crystal-6 ให้ทำงานได้ดีในตู้ประเภทตู้เบสรีเฟล็กซ์ เราจะพบว่า ท่อด้านหน้า จะเป็นท่อแนวยาวเป็นเส้น จะรีดเสียงต่ำให้ทรงพลังออกมาอย่างเต็มที่ และก็อย่างที่รู้กัน ว่าตู้ลำโพงผลิตและเคลือบสีในแบบพิเศษจากโรงงานเปียโนโดยตรง ลายไม้ด้านข้างจึงดูสง่างามมาก ยกระดับผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่นขึ้นมาอีกหลายช่วงตัว ขอเรียนว่า ลำโพงฟูลเร้นจ์ Lii Song YUN Crystal-6 มีลักษณะพิเศษ ที่ต้องการ การเบิร์นอินที่ยาวนานตั้งแต่ 200-250 ชั่วโมงนะครับ เพื่อให้ตัวขับเสียงมีความพร้อมอย่างเต็มที่ และเสียงจะ “เปิด” เมื่อเบิร์นอินครบจำนวนชั่วโมงดังกล่าว จะทำให้คงคุณภาพเสียงของลำโพงได้ตลอดไป เสียงของ Crystal-6 จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมากหลังจากเบิร์นอินไปแล้ว สังเกตว่า แรกเริ่มอาจรู้สึกว่าเสียงแหลมคมชัดเกินไป มีเบสอ่อน แต่เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ เบิร์นพ้น 50 ชั่วโมงแล้ว เสียงจะ “เข้าที่” มากขึ้น กลางเปิด เบสมาแบบน่าทึ่งเต็มสเกล พร้อมรายละเอียดงดงามดีเยี่ยมครับ (หมายเหตุ: ผมทราบว่าลำโพงทุกตู้จากโรงงานได้มีการเบิร์นอินดอกลำโพงมาแล้วประมาณ 50 ชั่วโมง ก่อนบรรจุลงตู้และส่งออกวางจำหน่าย แต่ก็อยากให้ท่านเจ้าของลำโพงได้มีโอกาสเบิร์นต่ออีกสัก 100 ถึง 150 ชั่วโมงครับ) Test Report เป็นครั้งแรกที่ผมได้ฟังลำโพงคู่นี้หลังจากมีการเบิร์นมาพอสมควร และผมก็นำมาเบิร์นต่ออยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลังจากนั้นจึงเริ่มฟังอย่างจริงจัง ดอกลำโพง Lii Song YUN Crystal-6 มี Phase Plug ติดตั้งมาในตัว ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก ในการออกแบบลำโพงฟูลเรนจ์ระดับคุณภาพสูง เทคนิคของดอกลำโพงเล็ก ที่ขึ้นรูปบานและซ้อนอยู่ตรงกลาง ให้ใกล้กับเฟสปลั๊ก ก็เป็นเนื้อเดียวกันกับกรวยหลัก ช่วยให้ปลายความถี่กลางแหลมเปิดกระจ่างและมีทิศทางที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับเฟสปลั๊ก จะยิ่งทำให้คุณลักษณะเสียงคล้ายเราได้ฟังลำโพงประเภทฮอร์น แต่อัตราการขยับและความว่องไว แม่นยำ พริ้วไสว จะโดดเด่นกว่า จะว่าไปแนวเสียงเหมือนเราขยายเรนจ์ ทั้งพลังเสียงความโปร่งความกระจ่างและความเปิดกว้างโออ่าของเสียงจากรุ่นเริ่มต้น Lii Song AL-3 ให้ก้าวกระโดดขึ้นมามากมายเลยทีเดียว โดยเฉพาะในแง่ความอิ่มของเสียงเบส ให้ความใกล้เคียงกับลำโพงขนาด 8 นิ้ว ของวูฟเฟอร์อื่นๆ เลยทีเดียว ให้เสียงที่เอิบอิ่ม มีความละเอียด และเสียงกลางมีลักษณะเฉพาะในแบบของลำโพงฟูลเรนจ์ ฟังแล้วจะรู้สึกได้ว่าเข้าถึงอารมณ์ดนตรีได้มากกว่าลำโพงทั่วไป อีกทั้งย่านความถี่มิดเรนจ์ของเสียงจัดว่ามีความเป็นกลางที่สูงมากๆ ครับ เพลงที่มีวงดนตรีขนาดใหญ่ เช่น วงออเครสต้า เพลงร้องแนวสดใส ของวิทนีย์ ฮิวสตัน ให้ความรู้สึกที่เปิดกว้าง เสียงของศิลปินช่างผ่องใสยิ่งนัก และเพลงบรรเลงแจ๊สที่สนุกเร้าใจ อาทิ อัลบั้ม Mamoru Mori Quartet - Standards ที่ผมมักจะใช้เป็นอัลบั้มเปรียบเทียบลำโพงอยู่เสมอ ที่ชี้ชัด ถึงความแม่นยำเที่ยงตรง ความรู้สึกของรูปวงดนตรีสมจริงมาก ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้ว่า Lii Song YUN Crystal-6 สร้างความประทับใจได้เทียบเท่าลำโพงขนาดใหญ่กว่านี้ขึ้นไปอีกหลายคู่ด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตามอยากให้ข้อคิดเห็นเอาไว้ว่าลำโพงประเภท Full-range นั้น จะมีเอกลักษณ์อยู่ประการหนึ่งก็คือ ไม่ชอบความผิดเพี้ยนของต้นฉบับเสียงดนตรี ดังนั้นลำโพงจะไม่เก็บงำเอาความบกพร่อง ของเสียงดนตรี หรือช่วยกลบเกลื่อนประนีประนอม การบันทึกเสียงจากสตูดิโอ แต่อย่างใดทั้งสิ้น ถ้าคุณชอบความแม่นยำเที่ยงตรงคุณจะชื่นชอบ Lii Song YUN Crystal-6 อย่างแน่นอน สำหรับการฟังกับอัลบั้มออดิโอไฟล์ทั้งหลายแล้ว คุณจะได้รู้สึกเหมือนกับเปิดโลกใหม่ขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ การเข้าถึงดนตรีที่ลึกซึ้งและให้ Detail หรือรายละเอียดในระดับไมโครเล็กๆ ที่ผมกล่าวเอาไว้นั้น ทำได้อย่างอ่อนหวานงดงาม ใส สง่าน่าประทับใจ ในแง่ของเสียงต่ำของเบส จะออกอิ่ม แน่น และจะให้แรงปะทะดีขึ้นอีกหลัง Burn‑in แล้ว และนี่ก็คือลำโพง Full-range ที่ให้เสียงเบสอิ่มเอมเป็นตัวตนมากที่สุดคู่ หนึ่งเท่าที่ผมเคยได้ฟังมา หากเปรียบเทียบกับลำโพงฟูลเร้นจ์ในยุคเก่าแล้วต้องถือว่า “ก้าว กระโดด” มาไกลมากๆ ครับ โดยเฉพาะในแง่การเป็นลำโพงความไวสูงมาก ใช้แอมป์กำลังขับพื้นฐาน ก็สามารถให้คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมได้ ข้อแนะนำคือขาตั้งลำโพงจะมีผลต่อความแม่นยำของเสียงด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะใช้เป็นขาตั้งโลหะ ขาตั้งไม้ ไม่ใช่ข้อจำกัด แต่ต้องใช้ฐานรองจำพวก Spike และตัวรองที่ดี รวมถึงต้องวัดระดับทุกมุมลำโพงด้วยตัววัดลูกน้ำให้ดีที่สุดด้วย Lii Song YUN Crystal-6 เป็นลำโพง Full-range ประเภทในระดับพรีเมี่ยม สำหรับกลุ่มผู้เล่นเฉพาะทาง ที่มีศักยภาพสูง เมื่อได้รับการเบิร์นอินอย่างเพียงพอ และจับคู่กับระบบขับเสียงคุณภาพสูง (ที่ไม่จำเป็นต้องกำลังขับสูง) Lii Song YUN Crystal-6 สามารถให้เสียงที่ใส รายละเอียดดี มีเบสที่แน่นและมีแรงปะทะ และสามารถตอบสนองได้ดีในหลายแนวดนตรีโดยไม่มีข้อจำกัด ที่สำคัญคือเสียงกลางสะอาดมากเลยทีเดียวครับ Lii Song YUN Crystal-6 จะให้ความรู้สึกประทับใจในเสียงดนตรี รวมทั้งเปลี่ยนทัศนคติและความเข้าใจเกี่ยวกับลำโพง Full-range อย่างแน่นอนครับ Lii Song YUN Crystal-6 ราคา 45,000.- บาท โปรโมชั่นพิเศษขณะนี้ ราคา 39,990.- บาท สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือนัดทดลองฟังได้ที่ Discovery HiFi โทร. 085-517-8292
Entreq Silver Minimus Tungsten เข้าถึงเสียงดนตรีได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น ระบบกราวด์มีผลต่อคุณภาพเสียง ตั้งแต่เริ่มต้นการวางระบบไฟ และกราวด์ของบ้าน จนถึงการออกแบบวงจรขยายในเครื่องเสียง ในแง่ของนักเล่นระดับออดิโอไฟล์ ได้มีความพยายามกำจัดเสียงรบกวนออกจากระบบกราวด์ในหลากหลายวิธี อาทิเครื่องกรอง หรือระบบชีลด์ต่างๆ สำหรับ Entreq แบรนด์ชั้นนำจากสวีเดน ได้เสนอวิถีทางที่เรียบง่าย แบบ “คืนกลับสู่ธรรมชาติ” คือดึงเอาเสียงรบกวนในระบบกราวด์ของเครื่องเสียงมาสลายในกล่องดัก Noise ของตน ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มนักเล่นระดับไฮเอ็นด์ ที่เข้าใจถึงความสำคัญ ของสัญญาณรบกวนว่า มีผลต่อคุณภาพเสียงเป็นเป็นอย่างยิ่ง Entreq หรือ Environmental Technology เป็นบริษัทจากประเทศสวีเดน ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาอุปกรณ์เสริมสำหรับระบบเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ โดยเน้นในเรื่องการจัดการกับกราวด์ (grounding) และลดสัญญาณรบกวน (noise reduction) ที่แฝงมากับสัญญาณดนตรี เพื่อยกระดับคุณภาพเสียงให้บริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติมากที่สุด ผู้ก่อตั้งคือ คุณ Per-Olof Friberg ชาวสวีเดน เคยใช้ชีวิตอยู่ในอาชีพเกษตรกรรมมาแต่เล็กแต่น้อย และเขาก็หันมาพัฒนาหลักการวิศวกรรมลดสัญญาณรบกวนทางกราวด์และแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยวัสดุธรรมชาติ อันมีไม้ และแร่ธาตุเฉพาะ ที่ไม่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานไฟฟ้า สินค้าที่ผลิตแบบแฮนด์เมด จะมี Ground Box กล่องกราวด์ Cables สายสัญญาณ สายลำโพง สายกราวด์และ Cleanus หรืออุปกรณ์จัดการพลังงานไฟฟ้าของ Entreq ในหลักใหญ่แล้ว Entreq ออกแบบเน้น “Passive Grounding” หรือการต่อระบบกราวด์ แบบไม่ใช้ไฟ หรือจะเรียกว่า ทำงานด้วยระบบแพสสีพนั่นเอง อุปกรณ์จะใช้วัสดุเฉพาะ เช่น เนื้อไม้ ทองแดงบริสุทธิ์, แร่ธาตุธรรมชาติ มุ่งลด EMI/RFI สัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ออกแบบให้เสียงจากต้นฉบับเพลงมีความนิ่งสงบและเปิดเผยรายละเอียดครบถ้วนมากที่สุด Entreq Silver Minimus Tungsten เป็นหนึ่งในกล่องกราวด์ Single‑cell ground box ระดับมิดเอ็นด์ของ Entreq เป็นรุ่นพัฒนาต่อยอดมาจาก Silver Minimus โดยมีการปรับสูตรผงแร่ภายใน (mineral mixture) ให้ใกล้เคียงกับรุ่น Olympus 10 T โดยเพิ่มส่วนผสมของ “ทังสเตน (Tungsten)” เข้าไป และมีการปรับระบบกันสั่น (vibration damping) ด้วยปลาย Spike อะลูมิเนียมแบบพิเศษ สำหรับตัวกล่องใช้ไม้โอ๊ค (oak) ธรรมชาติ ที่มีขนาด กว้าง 170 × สูง 170 × ลึก 190 มม. ภายในมีส่วนผสมของ Mineral mix ที่มีองค์ประกอบของโลหะ ได้แก่ ทอง, เงิน, ทองแดง, สังกะสี, แมกนีเซียม ในอัตราส่วนที่ไม่ได้เปิดเผยชัดเจน แต่กล่าวว่ามีแร่เงินมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และเสริมแร่ทังสเตนเข้าไป มีขั้วเชื่อมต่อกราวด์เป็นทองแดง (copper binding post) ถ้าถามว่า การเพิ่มส่วนผสมของทังสเตนเพื่ออะไร? คำตอบคือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านทานสัญญาณรบกวน (noise) ให้มากขึ้น ซึ่งจะก่อผลด้านความสงัดเสียงอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รุ่นนี้จะเป็นเวอร์ชันที่ 3 ของ Silver Minimus ที่มีการปรับปรุง เมื่อใช้คำว่า “Tungsten” เพื่อบ่งบอกถึงการผสมวัสดุใหม่ที่มี Tungsten เข้าไปด้วย ทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น จากการทดสอบส่วนตัวของผมนับตั้งแต่รุ่นเดิม Silver Minimus มาถึงรุ่นใหม่ พบว่ากับ Silver Minimus Tungsten แล้ว ในแง่รายละเอียดเสียงเล็กๆ จะเพิ่มขึ้นได้มากกว่า สามารถลด Noise Floor ได้ดีขึ้น ทำให้รายละเอียดเล็กๆ ในเพลงชัดขึ้นมา โดยเฉพาะความชัดเจนของชิ้นดนตรี สิ่งที่ผมชอบอุปกรณ์ของ Entreq คือทุกโมเดลจะไม่ไปทำให้บุคลิกเครื่องเสียงทุกชุดเปลี่ยนแปลงผิดเพี้ยนไป แต่จะลด Noise จากระบบกราวนด์ ทำให้เกิดความเป็นดนตรีสูงขึ้นอย่างชัดเจนมาก Entreq Silver Minimus Tungsten สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อต่อกราวด์/ระบายประจุไฟฟ้า 1 ชิ้น ที่มีน้ำหนักรวมไม่เกิน 10 กิโลกรัม ดังนั้นจุดหมายคือใช้กับ ปรีแอมป์, DAC Streamer, CD /SACD Player ต้นทางแหล่งโปรแกรมทั้งหลาย และเมื่อใช้สายกราวด์รุ่นใหม่ Entreq Revelation Ground Cable ที่ทดสอบร่วมกันกับ Silver Minimus Tungsten นี้ จะได้ผลดีและลงตัวมาก โดยด้านหลังจะมีจุดกราวด์มาให้ 1 จุด ออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานกับเครื่องเสียงทั่วไปตามข้อกำหนด ขนาดน้ำหนักดังกล่าวข้างต้น แต่ไม่แนะนำต่อกับ Power Amp โดยตรง (ควรใช้รุ่น Tellus หรือ Poseidon ที่มีขนาดใหญ่กว่า) สำหรับการต่อนั้น ให้ผู้ใช้ต่อกับสายกราวด์ของ Entreq เอง ซึ่งตรงนี้สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือเลือกสายรุ่นที่ใหญ่ขึ้นตามคุณสมบัติของโลหะ ตัวนำ ภายในได้ครับ เพราะตรงนี้จะเป็นเรื่องของการได้รับบุคลิกที่แตกต่างกันด้วย ก็คงขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละท่าน ต่อสายเชื่อมที่ผมนำมาใช้ร่วมด้วย (Entreq Revelation Ground Cable ยาว 1.65 เมตร) นี้ โดยเลือกหัวต่อ แบบใดแบบหนึ่งที่เป็นอแดปเตอร์ ด้วยการต่อปลายหนึ่งของสายไปยังจุดกราวด์ของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นน็อต Ground ด้านหลังเครื่อง (ที่มีโลโก้ GND) หรือต่อเข้าที่ช่อง RCA ของเครื่องเสียงที่ไม่ได้ใช้งาน ถ้าไม่มีช่องอื่นใดบนเครื่องเลย ให้คลายสกรูบน Chassis ตัวถังเครื่องและต่อสายกราวด์ ขันสกรูให้แน่น ส่วนปลายอีกด้าน ต่อไปยังช่องกราวด์บน Silver Minimus Tungtsten ที่มีแค่ 1 ช่อง ง่ายๆ แค่นี้เอง ตามข้อกำหนดทางสเปคซิฟิเคชั่น ของ Entreq Silver Minimus Tungsten ให้ต่อได้กับเครื่องที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 1-10 กิโลกรัม เนื่องจากกล่องที่มี Ground Point เพียงหนึ่งจุดไม่พอรับโหลด Noise จากเครื่องที่ใช้พลังงานสูงจำพวกเพาเวอร์แอมป์ หรืออินทิเกรเต็ดแอมป์ ดังนั้นใช้กับแหล่งโปรแกรม และปรีแอมป์ จะให้ผลดีที่สุดครับ อนึ่งวัสดุกราวด์ (metal/mineral mix) ใน Entreq Silver Minimus Tungsten มีปริมาณจำกัด เมื่อเทียบกับรุ่นใหญ่กว่า เช่น Silver Tellus หรือ Olympus ดังนั้นการใช้ Silver Minimus Tungstenกับแอมปลิไฟร์ขนาดใหญ่ อาจทำให้ผลลัพธ์ด้านเสียงไม่ชัดเจน หรืออาจทำให้ระบบไม่สมดุล เช่นเสียงบาง, โทนเปลี่ยน, แหลมเกินได้ คำแนะนำจาก Entreq ควรวางกล่อง Silver Minimus Tungsten ให้ห่างจากแหล่งจ่ายไฟหลัก เช่นปลั๊กราง, หม้อแปลง อย่างน้อย 30–50 ซม. เพื่อหลีกเลี่ยง EMI รวมทั้งไม่ควรวางซ้อนกับอุปกรณ์ที่จ่ายไฟหนัก เช่น Power Amp หรือ Power Conditioner และวางบนพื้นไม้ หรือชั้นวางเครื่องเสียงจะดีกว่าพื้นปูนโดยตรง ขั้วอแดปเตอร์ที่เลือกใช้งานได้ RCA , XLR, Banana / Spade / Eyelet, RJ45 / LAN ground (สอบถาม เลือกซื้อเพิ่มเติมได้จากผู้แทนจำหน่าย) ทดสอบใช้งาน เครื่องที่นำมาทดสอบร่วมกับ Entreq Silver Minimus Tungsten อาทิ เครื่องเล่น SACD , DAC , Streamer จะใช้ช่อง RCA และสลับมาใช้กับเร้าเตอร์ที่มีช่อง LAN ว่างอยู่ ได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก ในแง่การลด Noise ให้พื้นเสียงสงัดขึัน ผมพบว่า หนึ่งในซิสเต็มของผม ปรีแอมป์ระบบ Passive อย่างของ Hattor Audio นี่จะได้ผลลัพธ์เข้าขั้นน่าทึ่ง หรือกับ DAC และ SACD /CD Player ต้องถือว่าให้ประสบการณ์แบบเปิดโลกใหม่ๆ ในการฟังเลยครับ แต่ Entreq Silver Minimus Tungsten ไม่ได้ให้ผลความเปลี่ยนแปลงเสียงในทันทีทันใดที่คุณเสียบต่อใช้งาน แบบเสียบปุ๊บ ผลมาปั๊บแบบนั้นนะครับ คือแม้จะเริ่มฟังออกในช่วง 4-5 เพลงแรก ว่ามันเริ่มมีกลิ่นอาย ความสวยงามของชิ้นดนตรี ก็ควรปล่อยให้ช่วงเวลาเบิร์น อย่างใจเย็น ผ่านไปอย่างน้อย 20 ถึง 30 ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำ ที่คุณจะประเมินคุณภาพของการตัด Noise จากระบบกราวด์ อย่างเป็นรูปธรรม สำหรับผมฟังไปสักช่วง 20 นาที รู้สึกได้เลยว่ามีความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพเสียงเริ่มคืบคลานมาเรื่อยๆ แต่ที่ชัดเจนสุดเลยคือ ผ่านพ้นไป 2-3 ชั่วโมง และถ้าฟังไปเรื่อยๆ ครบหนึ่งสัปดาห์แล้วจะถึงขั้น ถอดออกไม่ได้เลยทีเดียว โดยสรุปคือเสียงดนตรี สวยงามขึ้นจริงๆ ครับ ก็เพิ่งจะพบว่า มีวิธีจัดการเสียงรบกวนจากระบบกราวด์ ในแบบไม่ใช้ไฟฟ้า (Passive) โดยทำหน้าที่เป็น Virtual Ground Point ดูดกระแส Stray voltage / HF noise จากอุปกรณ์เครื่องเสียงจะให้ผลลัพธ์ได้ถึงเพียงนี้ครับ ผมขออธิบายความรู้สึกส่วนตัวที่น่าประทับใจจากการใช้ อุปกรณ์ Entreq Silver Minimus Tungsten ด้วยอัลบั้มเพลงบางอัลบั้มที่เน้นการบรรเลงเปียโน ในสตรีมมิ่ง TIDAL ศิลปิน Alice Sara Ott ที่ผมคุ้นเคยดังนี้ สิ่งที่ได้มา คือความสมดุล ระหว่างแหลม-กลาง-ต่ำ ที่ดีมากขึ้น ให้เสียงที่ไม่จัดจ้าน รวมถึงไม่อมทึบในช่วงกลางต่ำ มวลเสียงกลางที่อ่อนหวานมีพลัง ในแง่น้ำหนักและแรงปะทะ (Dynamic & Impact) เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินความแตกต่างของน้ำหนักมือของนักเปียโน จากการกดเบาๆ (Pianissimo) จนถึงแรงสุด (Fortissimo) ได้มาซึ่งแรงปะทะของค้อน ที่กระทบสาย (Transient attack) ชัดสะอาด ไม่มัวมน ช่วงความถี่ต่ำ กระชับ ไม่เบลอหรือย้วย โดยเฉพาะคีย์ต่ำ มีการทอดหางเสียง คือเมื่อศิลปินปล่อยคีย์เปียโน มีหางเสียงที่ “ลอย” ออกไปเป็นธรรมชาติไม่ห้วน หรือหายวับในทันที บอกได้เลยว่า Entreq Silver Minimus Tungsten ไม่ใช่อุปกรณ์ของเล่นพื้นๆ ทั่วไปครับ มันจะให้การสนองตอบต่อเสียงดนตรีหลายสไตล์ หลากประเภทอย่างแจ่มชัด ให้เวทีเสียงที่กว้างลึกมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องดีเทล รายละเอียดช่วงปลายเสียง ซึ่งจะรู้สึกได้ถึงการรับรู้และเข้าถึงความสวยงามได้เป็นอย่างดี แบบว่าคุณไม่เคยได้ยินแบบนี้มาก่อนแน่ๆ การที่สัญญาณรบกวนจากระบบกราวด์ ได้ลดทอนลงไป เมื่อเราใช้งาน Entreq Silver Minimus Tungsten ผลลัพธ์คือสามารถเข้าถึงความรู้สึก สัมผัสอ่อนนุ่ม ที่มีมิติมากขึ้น เสียงบางลักษณะจากการบันทึกเสียงมาจากสตูดิโอ ที่มีค่าไดนามิคเร้นจ์กว้าง ทั้งแผ่วเบา และช่วงดนตรีสะวิง (Erich Kunzel, Cincinnati Pops Orchestra – Ein Straussfest) เหมือนผมเดินลึกเข้าไปในวงดนตรีมากขึ้นนั่นเอง “ความมีชีวิตชีวา” เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะสัมผัสได้ง่ายจากการใช้ Entreq Silver Minimus Tungsten เข้ามาเสริมในระบบเสียง ยกตัวอย่างเพลงป็อปทั่วไป เช่น อัลบั้มดังของ Linda Ronstadt (Cry Like A Rainstorm - How like The Wind) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้ความรู้สึกอันชัดแจ้ง เสียงร้องอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปินได้ถูกเปิดเผยมากขึ้น เหมือนทุกเสียงมีมิติยิ่งกว่าที่เคยฟังครับ Entreq Silver Minimus Tungsten ช่วยเปิดเผยประสบการณ์เสียงแหลมสูงที่มีพื้นเสียงสะอาดกว่า สังเกตจากหางเสียงที่ทอดตัวออกไปได้ดีขึ้น ใครที่เคยเผชิญกับเสียงแหลมในซิสเต็มแบบแห้งหยาบ หรือแหลมจนเสียดหู จะพบว่าชุดของเรามี Balanced และมีประกายเสียงที่งดงามฉ่ำหวานมากขึ้น เมื่อใช้ Silver Minimus Tungsten มากำจัดเสียงกวนในระบบกราวด์ ประการสุดท้ายคือผลของอิมเมจและเวทีเสียง Soundstage ที่ดี และมีความกว้างและลึกยิ่งขึ้น ให้คุณลักษณะชิ้นดนตรี และเสียงร้องมีตำแหน่งที่ชัดเจน Entreq Silver Minimus Tungsten เป็นอุปกรณ์ที่ให้ผลต่อคุณภาพเสียง และคืนบรรยากาศที่เคยขาดหายไปในระบบเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ พาเราเข้าไปถึงส่วนลึกของดนตรีได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น และที่สำคัญ คุณจะรับฟังชุดเครื่องเสียงของคุณได้อย่างยาวนานกว่าที่เคยครับ Enteq Silver Minimus Tungsten ราคา 23,900.- บาท (สายกราวด์ ขึ้นอยู่กับรุ่นที่เลือกใช้) สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ THONAL BALANCE โทร. 096-361-9465 Add-line OA: @thonal_balance
Lii Song Echo AL‑3 ลำโพงฟูลเรนจ์ที่ให้คุณภาพเสียงอันน่าทึ่ง เห็นรูปทรงลำโพงที่สวยงาม ฝีมือประณีตคู่นี้แล้ว ก็ต้องขอยืมมาทดลองฟังสักหน่อย เนื่องด้วยไม่ได้ฟังลำโพงประเภท Full-range ที่ใช้ไดรเวอร์ตัวเดียวขับเสียงทุกย่านความถี่มานานแสนนานแล้วครับ ผลิตภัณฑ์จากประเทศจีนในปัจจุบันต้องถือว่าก้าวล้ำยุคมาไกลมาก เทคโนโลยีของพวกเขาเจริญเติบโตจนล้ำหน้าฝรั่งและญี่ปุ่นไปไกลเลยทีเดียว ในตลาดออดิโอไฟล์ก็ไม่ต่าง เราจะเห็นผลิตภัณฑ์จากประเทศจีนได้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทุกระดับของกลุ่มออดิโอไฟล์จะพบว่าตั้งแต่ระดับเริ่มต้น จนถึงซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ แบรนด์จีนตีตลาดโลกในทุกเซกเมนต์ Lii Song หรือบริษัท Hangzhou Lii Song Electronics Technology ก่อตั้งในปี 2016 สำนักงานตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบซีซี่ (Xizi Lake) ในเมืองหางโจว ประเทศจีน บรรดาทีมวิศวกรผู้รักเสียงดนตรีเน้นการออกแบบและพัฒนาไดรเวอร์/ลำโพง Full-range คุณภาพสูง ด้วยแนวคิดที่ว่า “เสียงคือศิลปะ” ฝีมือในแบบ Handmade มีการปรับจูนเสียงอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างประสบการณ์ฟังเพลงที่มีชีวิตชีวา เข้าถึงอารมณ์ในเสียงดนตรีอย่างลึกซึ้ง ผมต้องเรียนว่า แบรนด์ Lii Song กับ Lii Audio นั้น แตกต่างกันนะครับ อาจมีความสับสนเล็กน้อยในวงการ DIY Lii Audio หรือที่รู้จักในชื่อ “Xizi Morning Glory” ผู้ออกแบบและพัฒนาไดรเวอร์ full‑range ก่อตั้งตั้งแต่ปี 2006 ในเมืองหางโจวก่อนกำเนิด Lii Song หรือบริษัท Hangzhou Lii Song Electronics Technology ถึงสิบปี แต่น่าจะมีความผูกพันกันในแง่ธุรกิจ เพราะ Lii Audio เน้นตลาดในประเทศจีน และทาง Lii Songเน้นตลาดต่างประเทศ เคยมีผู้ไปเยือนสำนักงานทั้งสองแห่งพบว่า Lii Song แม้ไม่ใช่บริษัทเดียวกับ Lii Audio แต่มีความผูกพันกันในระดับหนึ่ง เหมือนกับแบ่งกันทำการตลาดระหว่างภูมิภาคภายใน กับภายนอกประเทศ ปัจจุบันองค์กร Hangzhou Lii Song Electronics Technology Company Limited ได้จดทะเบียนเครื่องหมาย การค้า “Lii Song” ในสหภาพยุโรปแล้ว เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2022 Lii Song มุ่งหมายตลาดยุโรปและตลาดโลกเป็นหลัก ทุกดีไซน์ ทุกโมเดลจึงเต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และมาตรฐานสูง ในแง่ของชื่อแบรนด์ ถ้าอ่านออกสำเนียงทั่วไป อิงภาษาอังกฤษ อาจอ่านว่า “ลี่ซอง” คนที่อ่านตามสำเนียงแบบจีน จะอ่านว่า “หลี่ซ่ง” ไหม อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะครับ Lii Song มีการผลิตไดรเวอร์ลำโพงฟูลเรนจ์จากแบรนด์ ตั้งแต่รุ่นขนาดกลาง อาทิ Fast‑12, Fast‑15, รุ่นเล็ก (AI‑4) จนถึงรุ่นสำหรับ Open Baffle (F‑8) มีดีไซน์ที่หลากหลายสำหรับผู้ที่ต้องการนำไปประกอบตู้ขึ้นเองหรือนักเล่นแบบดีไอวาย ส่วนลำโพงที่ประกอบตู้สำเร็จมีอยู่หลายหลายรุ่น ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงของนักเล่นระดับไฟล์ออดิโอไฟล์ อาทิ Echo Series, F Series, Platinum Series, Silver Series, Crystal Series, Fast Series เป็นต้น ลำโพง Echo Series ตู้สำเร็จที่กำลังเป็นที่นิยมของ Lii Song มีสามรุ่นหลักคือ Echo AL‑3 (ใช้ไดรเวอร์ AL‑3) Echo AL‑4 (ใช้ไดรเวอร์ AL‑4) Echo F‑6S (ใช้ไดรเวอร์ F‑6S) เข้าใจว่าทางผู้นำเข้าคือ Discovery Hi-Fi คงจะทยอยนำเข้ามาหลายรุ่นให้นักเล่นผู้ชื่นชมเสียงบริสุทธิ์แบบ Full-range ได้เป็นเจ้าของ Echo AL‑3 รูปทรงกะทัดรัดสวยงามในขนาด: สูง 34 cm × ลึก 25 cm × กว้าง 22 cm เคลือบผิวดำเปียโน ใช้ตัวขับเสียงเทคโนโลยีสูงขนาด 3 นิ้ว น่าจะสร้างความตื่นเต้นฮือฮากับนักฟังกับเสียงที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบเหลือเชื่อ รวมทั้งราคาก็น่าจับต้องเพียงคู่ละ 12,500.- บาทเท่านั้น เทียบกับเสียงที่ได้คงถูกใจเป็นแน่ Lii Song Echo AL‑3 ใช้ตัวขับเสียง Full-range ที่มีการปรับปรุงใหม่ล่าสุดในปี 2023 โดยกรวยจะผลิตด้วยวัสดุ Metal Cone Unit องค์ประกอบหลักในแบบอลูมินั่มผสมแมกนีเซียมอัลลอย (magnesium) ซึ่งมีคุณสมบัติแข็งตัวสูงและน้ำหนักเบา ส่วนแม่เหล็กและโครงสร้างเฟรมได้รับการเสริมความแข็งแรงมากขึ้นเพื่อให้การสนองตอบเสียงทั้งกลาง‑สูง–ต่ำ มีความกว้างและความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นตัวขับที่มีค่าอิมพีแดนซ์ 4 โอห์ม และเหมาะกับแอมป์ขนาดกำลังขับ (Rated Power) 15–30 W ให้ความถี่ตอบสนอง 50 Hz – 17 kHz โดยมีความถี่เรโซแนนซ์ (Fs): 49 Hz ให้ความไวที่ดีมาก คือ 93 dB @ 2.83 V/1 เมตร ซึ่งให้ความไวมากกว่าลำโพงโดยทั่วไป 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว ตัวตู้ทำจากไม้ MDF หนา 18 mm เคลือบผิวด้วย Piano lacquer ในโรงงานผลิตเปียโนโดยตรง ให้ลุคสวยหรูและมีความทนทาน เจาะพอร์ตท่อเบสแบบ Bass Reflex ออกด้านหน้า ไม่มีวงจร Crossover ดังนั้นพลังเสียงจะส่งต่อจาก Binding Post ไปยังดอกลำโพงโดยตรง เหมาะกับแอมป์กำลังต่ำ แอมป์คลาส A แอมป์หลอด ทั้งซิงเกิ้ลเอ็นด์ หรือพุชพูล ไม่เว้นแม้แต่แอมป์คลาส D ที่ผมได้ทดสอบ ปรากฏว่าให้ผลที่ดีเช่นกัน ผลการทดสอบฟัง Lii Song Echo AL‑3 แม้จะเป็น Full-range แต่ก็เซ็ตอัพได้เสมือนลำโพงโดยทั่วไป คือเป็นลำโพง Bookshelf ที่เหมาะกับการวางบนขาตั้ง ด้านใต้ตู้จะมีปุ่มยางรองรับมาให้ทั้งสี่มุม หากฐานหรือเพลทรองรับลำโพงมีขนาดเดียวกันกับลำโพงจะช่วยให้สะดวกมั่นคงยิ่งขึ้น กรณีเพลทรองรับของขาตั้งลำโพงเล็กกว่า ก็ควรวางให้ขายางให้เลยขอบของเพลทขาตั้งครับ และใช้กาวบลูเท็คติดยึดพื้นล่างตู้ลำโพงให้มั่นคงกับเพลทรองรับของขาตั้ง สำหรับขาตั้งลำโพงระดับความสูง 60-65 เซนติเมตร ที่ผมทดลองมีทั้งขาตั้งไม้ ขาตั้งโลหะผสม ขาตั้งโลหะ ทั้งสามรูปแบบนี้ พบว่าขาตั้งโลหะผสมทั่วไปน่าจะเหมาะที่สุดกับการช่วยให้ลำโพงเปล่งเสียงระบบลำโพงฟูลเรนจ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่าเสียง “หลุดลอย” ออกจากตู้ลำโพง ระยะวางห่างกันของลำโพงตู้ซ้ายและขวา เหมาะสมที่สุดในห้องฟังของผมคือ 1.75 เมตร ใช้แอมป์หลายรูปแบบมาทดลองสลับกันขับลำโพง Lii Song Echo AL‑3 ทั้งแอมป์หลอดประเภทซิงเกิ้ลเอ็นด์ 8 วัตต์ (FMj 300B) แอมป์หลอดคลาส A กำลังขับข้างละ 25 วัตต์ (Audio Innovations Series 500) และแอมป์คลาส D 100 วัตต์ (NAD C3050) เป็นต้น พบว่าลำโพงไม่ได้เกี่ยงแอมป์เลยแม้แต่น้อย รวมถึงแอมป์เก่าวินเทจคลาส A อย่าง Marantz ESOTEC PM4 กำลังขับ 15 วัตต์ หรือ NAD 3020 ผู้เก่าแก่ในตำนาน ขนาดกำลังขับ 20 วัตต์ ต้องบอกว่า ขับกันได้อย่างสบายมากครับ ภาษานักเล่นต้องกล่าวว่าขับได้ฉลุยครับ คาแรกเตอร์ลำโพง ให้ความแม่นยำเที่ยงตรงฟังสบาย ถ่ายทอดความรู้สึกละเอียดอ่อน กับแอมป์หลอด อาจจะให้เสียงหวานอบอุ่นกว่าแอมป์โซลิตสเตทเล็กน้อยครับ ลำโพงคู่นี้ผ่านการเบิร์นมาแล้วพอสมควร สังเกตจากความอิสระของย่านความถี่ เสียงโปร่งกังวานแผ่รัศมีออกมาเต็มที่ (แนะนำสำหรับท่านที่เป็นเจ้าของลำโพงใหม่ควรจะเบิร์นประมาณ 150 ชั่วโมงขึ้นไป) ในอดีตผมเคยฟังลำโพงประเภท Full-range มาบ้าง แต่มีน้อยคู่ที่จะรู้สึกว่าน่าประทับใจ เพราะแม้ส่วนใหญ่ให้ความต่อเนื่องของเสียงได้ดีก็จริง แต่การครอบคลุมความถี่มักจะแฟลตอยู่เฉพาะย่านกลางที่โดดเด่น เสียงปลายแหลมไปไม่ถึง และเบสต่ำก็ลงไม่ลึกนัก (เหมือนตีกรอบความถี่เสียง) ส่วนลำโพง Full-range ที่เสียงสมบูรณ์จริงๆ ก็มักจะมีราคาแพงไม่ใช่เล่นครับ แต่ Lii Song Echo AL‑3 เสียงแรกที่ผมได้ยิน แบบไม่คาดหวัง กลับให้ความรู้สึก “ทึ่ง” ต้องร้องเฮ้ย... ขึ้นมาในใจว่า เป็นไปได้ไงกับลำโพงที่มีตัวขับขนาด 3 นิ้ว จะให้เสียงร้องเปิดกว้าง ชิ้นดนตรีครบชัดแบบนี้ แถมเบสยังมีความอิ่มละมุน อันนี้เซอร์ไพรส์จริงๆ ไม่ทราบจะสรรหาคำใดมาทดแทนได้ คุณไปเอาเวทีเสียงกว้างลึกและเบสอุ่นๆ มาจากไหนครับ ทำได้เด็ดดวงจริงๆ นึกว่าตัวเองกำลังฟังลำโพงสองทางวูฟเฟอร์ 6 นิ้วด้วยซ้ำไปครับ‼️ คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้ฟังเสียงลำโพงฟูลเรนจ์ แล้วได้อารมณ์เพลงแบบลำโพงชั้นดีทั่วไป ไม่มีคำว่า “ตีกรอบเสียง” ใดๆ Echo AL‑3 เป็นลำโพงซึ่งให้คุณภาพเสียงที่น่าค้นหาเป็นอย่างยิ่ง สนองตอบได้ดีกับดนตรีหลากรูปแบบ ความไหลลื่นของเสียงลำโพง จะพาคุณล่องลอยไปกับจินตนาการดนตรีไม่จบสิ้น เสียงกลางแหลม ให้ความเปิดกว้างสดใส และยังคงเอาไว้ซึ่งเบสลึกๆ อบอุ่น เสียงกลางหวานละมุน เรนจ์ไม่แคบเหมือนลำโพงฟูลเรนจ์ที่ผมเคยฟัง เวทีเสียงกว้างดีทีเดียว นี่คือการพัฒนาตัวขับเสียงที่ยอดเยี่ยม ฟังทีไรต้องประเมินความคิดใหม่ว่า ขนาดตัวขับเพียง 3 นิ้ว สามารถก้าวกระโดดมาไกลมาก เทคโนโลยีสมัยนี้ มาสุดทางจริงๆ สิ่งที่ผมต้องพิจารณาคือ ลำโพง Lii Song Echo AL‑3 แบบ Full-range นี้ ฟังเพลงได้หลากหลายมาก ถึงจะไม่ได้เหมาะสมกับเพลงทุกประเภท แต่ก็มีข้อจำกัดน้อยมาก คือผมอยากจะละไว้เฉพาะเพลงร็อค เพลงที่เน้นเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์รุนแรงทั้งหลาย เสียงแบบสะวิงขึ้นลงดุเดือดอาจจะไม่ใช่แนว แต่ถ้าใครฟังเพลงแบบโรแมนติค รับรองว่าจะลุ่มหลงมันไม่ยากเลยครับ นอกจากนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นเพลง ป็อป แจ๊ส ไลท์มิวสิค คันทรี เพลงไทย ลูกกรุง ลูกทุ่ง สตริง บิ๊กแบนด์ คลาสสิก นิวเอจ ฯลฯ จัดว่าดีเยี่ยมมาก ฟังได้ดังเต็มอิ่มไม่มีขีดจำกัดอะไร อยากกระซิบดังๆ ว่าใครที่ชอบเพลงร้องโดยเฉพาะเสียงจากศิลปินนักร้องสุภาพสตรีสำเนียงเสียงใสหวานๆ พร้อมทั้งให้ความผ่อนคลาย และให้ชิ้นดนตรีที่มีมิติ นี่คือลำโพงที่คุณจะต้องพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง Lii Song Echo AL‑3 เป็นลำโพงที่หลุดขีดจำกัดหลายประการของลำโพงทั่วไป โดยเฉพาะการไม่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก ระบบ Full-range นั้นไม่ซับซ้อน ด้วยการไวริ่งสายส่งผ่านสัญญาณตรงจากขั้วไบดิ้งโพสท์ เข้าสู่ไดรเวอร์ ทำให้เสียง Clean บริสุทธิ์ แสดงเสียงดนตรีที่แม่นยำเที่ยงตรงจากแหล่งต้นกำเนิดสู่การเปล่งเสียงออกมาให้เราได้ยิน ไดรเวอร์จึงเป็นหัวใจของระบบ รองลงไปคือการคำนวณขนาดตู้และท่อเบสรีเฟล็กซ์ ซึ่ง Lii Song Echo AL‑3 ทำได้เป็นผลสำเร็จที่น่าประทับใจ คู่ควรแก่การเรียนรู้ แน่นอนว่าเทคโนโลยีทางด้านวัสดุศาสตร์รูปแบบของตัวขับเสียง มีผลลัพธ์ต่อคุณภาพเสียงเป็นอย่างยิ่ง และ Lii Song Echo AL‑3 เป็นอีกมิติหนึ่งของนักฟังประเภท “บริสุทธิ์นิยม” อยากได้ทุกสิ่งที่สมจริงไร้การบิดเบือนครับ บทสรุป Lii Song Echo AL‑3 ลำโพงฟูลเรนจ์ตู้ขนาดย่อมที่ให้คุณภาพเสียงอันน่าทึ่ง คือเสียงไม่ต่างไปจากลำโพงมอนิเตอร์ชั้นดี เป็นเสียงในแนวทางที่นักเล่น หรือผู้ผลิตเครื่องเสียงหลายรายนิยมใช้ Full-range Speaker เป็นมอนิเตอร์ ในการออกแบบเครื่องเสียง อาจจะเพราะเสียงที่บริสุทธิ์ไร้การแต่งแต้มสีสันนั่นเอง Lii Song Echo AL‑3 ลำโพงที่มีขนาดตู้ขนาดปานกลาง เปล่งเสียงดนตรีแม่นยำขนาดนี้ เสียงเป็นธรรมชาติตั้งแต่เสียงต่ำจนถึงกลางแหลมช่วงปลาย ให้เสียงได้ในระดับ “งดงาม” นับว่าเป็นการพลิกตำราใหม่ในยุคไฮไฟปัจจุบัน และการที่ราคาอยู่ที่คู่ละ 12,500.- บาท อาจจะทำให้ตลาดลำโพงแตกตื่นไม่ใช่น้อยเลย สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งจองได้ที่ คุณกิตติคุณ ปรินายก Discovery HiFi โทร. 085-517-8292
The Light of Audiophile ตอนที่ 7 เทคนิคการเซ็ตอัพ และปรับค่าซับวูฟเฟอร์ ในการฟังเพลง 2 แชนแนล บทความตอนนี้ จะกล่าวถึงหลักปฏิบัติซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผม ในการปรับตำแหน่ง และเซ็ตค่าแอคทีฟซับวูฟเฟอร์ โดยขอแบ่งแยกรูปแบบตู้ซับดังต่อไปนี้ 1. ตู้ซับวูฟเฟอร์แบบตัวขับยิงเสียงออกด้านหน้า (ทั้งมีท่อพอร์ต และตู้ปิดทึบ) 2. ตู้ซับวูฟเฟอร์แบบตัวขับยิงเสียงลงพื้นด้านล่าง (down firing) 3. ตู้ซับวูฟเฟอร์แบบตัวขับยิงเสียงลงพื้นด้านล่าง หรือออกด้านหน้า แต่มีแพสสีพเรดิเอเตอร์ยิงเสียงออกซ้าย-ขวา (two ways) 4. ตู้ซับวูฟเฟอร์แบบตัวขับยิงเสียงออกสองด้าน (two ways) ด้วยการออกแบบในเทคนิคที่แตกต่างเหล่านี้ การเซ็ตตำแหน่งที่วางตู้ซับ ก็จะต้องหาวิธีมีความเหมาะสม และให้ความลงตัวที่แตกต่างกันไป ตำแหน่งที่ SET UP สำหรับท่านที่ต้องการเซ็ตเอง แบบค่อยๆ เรียนรู้ และหาจุดตำแหน่งที่เหมาะสมคือ ในภาพ FIG 1 เซ็ตอัพซับวูฟเฟอร์ แบบสเตอริโอ สองตู้ ซ้ายขวา ให้เลือกตำแหน่งในแบบ “โอบล้อมลำโพงหลัก” โดยเลือกในแต่ละทิศทาง ได้ทั้ง หน้า-หลัง-ซ้าย-ขวา วางห่างลำโพงหลัก ณ. ตำแหน่งใด ตำแหน่งหนึ่ง ให้เป็นเงาซ้อน ห่างลำโพงหลักประมาณ 1 ฟุตขึ้นไป จุดใดเหมาะสมที่สุด เลือกจุดนั้นครับ การเซ็ตแบบนี้ จะยืดหยุ่นได้มากที่สุด และเหมาะกับห้องขนาดเล็ก 12 ตารางเมตร จนถึงห้องขนาด 35-40 ตารางเมตร ในภาพ FIG 2 คือเซ็ตอัพซับวูฟเฟอร์ แบบสเตอริโอ สองตู้ ซ้ายขวา โดยวางเป็นมุมเฉียง 45 องศา จากลำโพงหลัก ระยะห่างเริ่มที่หนึ่งฟุตเป็นต้นไปเช่นกัน นี่อาจจะเหมาะกับขนาดห้องที่มีบริเวณกว้างลึกเกิน 15-20 ตารางเมตร ขึ้นไป ในภาพ FIG 3 คือการใช้ซับวูฟเฟอร์ตู้เดียว ด้วยการวางตรงกึ่งกลางระหว่างระนาบเดียวกับลำโพงซ้ายขวา โดยถอยหลังลึกเข้าไปจากระนาบ ห่างหรือชิดผนังแค่ไหน ให้เริ่มทดลองดู ขยับทีละตำแหน่ง ทีละเล็กน้อย หาตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด การใช้ซับวูฟเฟอร์ตัวเดียวนั้นอาจจะเซ็ตได้ไม่ยากนักก็จริง แต่ทั้งคุณภาพและปริมาณความถี่ต่ำจะต้องเกลี่ยให้กลมกลืนกับระบบซิสเต็มลำโพงหลัก มิฉะนั้นมันจะทำให้เรารู้สึกว่า จุดที่ความถี่ต่ำตกกระทบเป็น “ระดับเสียงดังมากกว่าลำโพงหลัก” นั้น เป็นตัวต้นเหตุทำให้รบกวนความถี่อื่นให้จมหายไป ในกรณีลำโพงซับวูฟเฟอร์ ที่มีการยิงเสียงสองทิศทางไปด้านซ้าย-ขวา หรือซับวูฟเฟอร์ที่ยิงเสียงลงพื้น (down firing) จะทำให้เซ็ตเสียงได้กลมกลืนง่ายกว่า ตู้ซับแบบยิงมาด้านหน้าโดยตรง อีกทั้งจะทำให้เสียงต่ำกินบริเวณกว้างลึกได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากจุดประสงค์ในการเซ็ตอัพ ซับวูฟเฟอร์ ก็คือทำอย่างไรก็ได้ ให้เพิ่มปริมาณ และคุณภาพความถี่ต่ำ “กลมกลืน” ในปริมาณที่ “พอดี” หรือมีสเกลสัดส่วนย่านความถี่ต่ำใกล้เคียงกับความถี่กลางแหลมของลำโพงเมนหลัก ซ้าย ขวา ซับวูฟเฟอร์ ไม่ควรที่จะปรับให้มีปริมาณเสียงดัง ความถี่กระทุ้งกระแทก แล้วระบุจุดตำแหน่งที่ตั้งหรือตัวตนของมันเอง ว่าอยู่ ณ.ตรงจุดใด อันนั้นถือว่าเป็นการเซ็ตอัพที่ไม่ถูกต้อง ต่อจากนี้ คือการปรับค่าหลักๆ 3 ค่าที่สำคัญ ในตู้ซับวูฟเฟอร์ครับ ปุ่มปรับระดับความดัง Level หรือ Volume ปุ่มปรับจุดตัดความถี่ Crossover Network ปุ่มปรับ Phase 0-180 องศา หลักการเบื้องต้นโดยทั่วไปก็คือ จะต้องปรับปุ่มของระดับความดัง Level หรือ Volume ให้อยู่ในระดับ 10.00 ถึง 12:00 น. (กึ่งกลาง) โดยประมาณ เพราะที่ระดับความดังขนาดนี้มักจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการปรับ ลด หรือเพิ่มอีกเล็กน้อย ของระดับเสียงซัพวูฟเฟอร์โดยทั่วไป การปรับระดับความดัง Level หรือ Volume จะต้องทำควบคู่กับจุดตัดความถี่ครอสโอเวอร์เสมอ ให้เลือกจุดตัดความถี่ที่ต่ำที่สุดของซับวูฟเฟอร์ ตู้นั้นๆ เอาไว้ก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น40 หรือ 50Hz ย่านความถี่จุดตัดยิ่งสูง อัตราเสียงต่ำจะกระแทกกระทั้นมากขึ้น ดังนั้นจงหาจุดที่สมดุลกับความถี่ต่ำของลำโพงเมนหลักให้ได้ แนะนำว่า ไม่ควรจะเลือกตัด ความถี่ครอสโอเวอร์สูงเกิน 100 เฮิร์ตซ์ โดยไม่จำเป็น เพราะส่วนมากแล้วจุดตัดสูงๆ จะทำให้เสียงเบสโด่งนำหน้าความถี่อื่น ความถี่จุดตัดจะต้องปรับคู่กับ Volume อยู่เสมอ และต้องปรับทีละเล็กทีละน้อยอย่างละเอียดที่สุด ก็เพราะว่า ตรงจุดครอสโอเวอร์นี้ จะทำให้รอยเชื่อมต่อของความถี่ต่ำ ระหว่างลำโพงเมนหลัก กับความถี่ต่ำจากตู้ซับวูฟเฟอร์นั้นสามารถกลมกลืนกันได้ เมื่อปรับค่าของซับวูฟเฟอร์ ได้ค่อนข้างกลมกลืนแล้ว (หรือมีปัญหาว่าเบสบางส่วนยังคงเดินช้ากว่าเสียงกลางแหลม) ให้ลองปรับค่าที่ Phase 0-180 ดู เป็นลำดับสุดท้าย ไม่ควรปรับค่าเฟสไปทางเฟสลบ -180 องศา ในระหว่างจูน Volume และ Crossover แต่ให้ปรับดู หลังจากปรับค่าทุกอย่าง และให้เสียงได้ลงตัวแล้ว ปุ่มปรับค่าเฟสนี้ ซับบางตู้ อาจจะเป็นสวิตช์ เลือก บวก 0 และ ลบ 180 องศา แต่ ซับวูฟเฟอร์ราคาสูงๆ มักจะเป็นปุ่มเกนโวลุ่ม ให้เราเลือกค่าเฟสแปรผันไปทีละน้อยได้ ยังมีอีก 2 เทคนิค สำหรับการเสริมตู้ซับเข้าไปในระบบฟังเพลง ซึ่งเป็นวิธีการของงาน Professional เมื่อนานมาแล้ว เหมาะกับห้องฟังเพลงที่มีขนาดใหญ่ และเสียงเบสเบาบางเกินไป ก็สามารถใช้วิธีดังกล่าวนี้ได้ 1. Inverted Stack Cardioid วางตู้ซับวูฟเฟอร์ ซ้อนกันสองถึงสามตู้ต่อแชนแนล อาจจะมีการวางยิงเสียงมาด้านหน้าทุกตู้ หรือสลับบางตู้ยิงมาด้านหน้า บางตู้ยิงไปด้านหลัง แล้วแต่การ คำนวณค่า หรือเซ็ตอัพ จะทำให้ได้มิติของเสียงเบสและความกว้างลึกของเสียงต่ำสมบูรณ์มากขึ้น การวางตู้ทับซ้อนขึ้นไป ช่วยให้เปลืองพื้นที่น้อยที่สุดภายในห้อง สิ่งสำคัญก็คือตู้ซับจะต้องถูกออกแบบมาเพื่อให้วางซ้อนกันได้ ไม่ควรนำตู้ซับวูฟเฟอร์ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการนี้มาวางซ้อนกันนะครับ 2. End Fire Cardioid เป็นอีกเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเทคนิคการวางตู้ซับวูฟเฟอร์ซึ่งในกรณีนี้ มีอยู่หลายวิธี ทั้งการวางตู้หน้า-หลัง ในลักษณะเฟสบวกหรือการวางชิดกันสามตู้ โดยมีการยิงเสียงต่างทิศทางกัน ต้องมีการคำนวณการเว้นระยะห่าง เพื่อการคอนโทรลความถี่ต่ำ อันเนื่องมาจากบางครั้งมีปัญหาการรบกวน มีการเลี้ยวเบนของเสียงต่ำที่กระจัดกระจาย ออกรอบทิศทาง หรือการทับซ้อนกันเองของความถี่ต่ำ ซึ่งวิธีนี้ จะเหมาะสำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเซ็ตอัพ โดยเฉพาะครับ บทสรุปคือการเล่นเครื่องเสียงย่อมมีหลายวิธีการและการเสริมตู้ซับวูฟเฟอร์เข้าไปนั้น ถ้าเราใช้เทคนิคที่ถูกต้องก็จะทำให้ความถี่ต่ำนั้นสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยให้ยึดหลักที่ว่า หากระบบเสียงภายในห้องนั้นยังขาดความสมบูรณ์ที่ความถี่ใดความถี่หนึ่ง เราก็สามารถเสริมเข้าไปได้ โดยคำนึงถึงเรื่องโทนัล บาลานซ์ และสเกลของความถี่เป็นสำคัญครับ
The Light of Audiophile ตอนที่ 6 การเสริมระบบซับวูฟเฟอร์ ในการฟังเพลง การเสริมซับวูฟเฟอร์ในระบบฟังเพลง 2 แชนแนลนั้น มาจากเหตุผลที่ว่า ถ้าซิสเต็มในระบบฟังเพลงของเรา เสียงต่ำบาง เบสขาดสเกลเสียง อันเนื่องจากความสามารถในการตอบสนองความถี่ของลำโพงเสียงต่ำ Woofer ไปได้ไม่ถึงจริงๆ เพราะขนาดลำโพงเล็กเกินไป เช่น ลำโพงวางขาตั้งที่มีขนาดวูฟเฟอร์ เพียง 4-8 นิ้ว ที่ไม่อาจจะให้ทั้งปริมาณ และคุณภาพเสียงต่ำที่สมจริง (โดยไม่บีบเค้น) นั้นได้ หรือต่อให้เราใช้ลำโพงตั้งพื้นขนาดใหญ่พอสมควร แต่เนื่องจากขนาดของห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เบสที่ควรจะได้จากลำโพง 2 ตู้ ก็ยังรู้สึกด้อยกว่าเสียงกลางแหลม ไม่สามารถที่จะเซ็ตอัพให้ได้คุณภาพเสียงต่ำที่สมบูรณ์ได้ คำตอบก็อาจจะต้องมาอยู่ที่การเสริม Sub-Woofer ครับ ช่วงปี 2542 ผมได้ให้คำปรึกษาด้านระบบเสียงให้ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งชีวิตส่วนตัวท่าน เป็นคนเล่นเครื่องเสียง ในแบบอนาล็อก ฟังเพลง Classical ที่บรรเลงด้วยวงออเคสตร้าเป็นหลัก ที่สุดท่านได้ตัดสินใจซื้อลำโพงรุ่นท็อป ตู้ขนาดสูงท่วมบ้าน ขนาดวูฟเฟอร์ 12 นิ้ว สองตัวต่อตู้ มาฟังเพลงที่ชื่นชอบ แต่ก็ปรารภกับผมตลอดว่า เสียงของกีต้าร์เบส ดับเบิ้ลเบส กลองทิมปานี ขาดน้ำหนัก เบาบางไป ถ้าฟังในระดับเบาๆ แบบแบ็คกราวนด์มิวสิกนี่แทบไม่เหลือให้สัมผัสอรรถรสดนตรีช่วงความถี่ต่ำเลย ผมตัดสินใจจัดเอา Active Sub-Woofer ที่มีขนาดไดรเวอร์ 12 นิ้ว และ Sub Bass Radiator ขนาด 15 นิ้ว มาเพิ่มสองตู้ ซ้ายขวา โดยหาวิธีต่อจากปรีเอาท์ของปรีแอมป์ชุดที่ 2 และเซ็ตอัพหาความบาลานซ์เพื่อให้เกิดสมดุล ของความถี่ต่ำกับย่านกลางแหลมให้ลงตัว ต้องเข้าใจว่า เกือบสามสิบปีที่แล้ว แอคทีฟซับวูฟเฟอร์ยังมีความเฉื่อยของเสียงต่ำอยู่บ้าง ไม่เหมือนแอคทีฟซับวูฟเฟอร์สมัยนี้ ที่ดีไซน์ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย กรวยลำโพงใช้วัสดุที่ดี ให้การสนองตอบฉับไว เท่าทันความถี่กลางแหลม สำหรับซับแอคทีฟยุคเก่า ผมจึงต้องกำหนดจุดตั้ง และเซ็ตอัพอยู่ 2-3 ครั้ง จึงลงตัวในที่สุด ท่านเจ้าของซิสเต็มบอกว่า ได้เสียงที่ลงตัวประทับใจ ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงในคอนเสิร์ตฮอลล์ จึงมีความสุขมาก ถือว่าแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ มาย้อนดูช่วงเวลาของการออกแบบซับวูฟเฟอร์ ที่น่าสนใจกัน ช่วงปี 1982 บริษัทนิปปอน กักกิ หรือยามาฮ่า ตัดสินใจออกแบบแอคทีฟ ซับวูฟเฟอร์ตัวแรก นั่นคือ NS-W1 โดยมีขนาดตู้ 50 ลิตร มีแอมป์ขับในตัว 45 วัตต์โมโน ที่ 6 โอห์ม แม้ไดรเวอร์จะมีขนาดเพียง 10 นิ้ว แต่ดีไซน์เนอร์อธิบายว่า ตัวขับเสียงถูกออกแบบให้ครอบคลุม ตอบสนองความถี่ต่ำเฉพาะ จึงต่างไปจาก Woofer ทั่วไป มีความสามารถแสดงผลความถี่ต่ำลงลึกได้ถึง 20Hz ในเวลาเดียวกันนั้น ทาง Bose และ M&K แห่งอเมริกา เป็นรายแรกๆ ที่ออกแบบลำโพงเมนหลักกลางแหลมแยกส่วนออกจาก Sub-Woofer แบบแพสสีพ ซึ่ง M&K ใช้ชื่อระบบว่า Sub-Satellite เป็นการแก้ปัญหาขาดความถี่ต่ำ ประการหนึ่ง และให้ความสะดวกในการจัดวางภายในห้องขนาดย่อมๆ จากนั้นมีบริษัทเครื่องเสียงบางแห่ง อาทิ Dave Hall เปิดตัว Velodyne Acoustics ในปี 1983 เพื่อเน้นผลิตซับวูฟเฟอร์โดยเฉพาะ เทคโนโลยีล้ำสมัยของ Velodyne คือระบบเซอร์โวคอนโทรล ระบบนี้ จะนำเอาปฏิบัติการดิจิตอลช่วยรายงานจากสถานการณ์ใช้งานจริง ซึ่งจะช่วยควบคุมมิให้ซับวูฟเฟอร์ส่งเสียงผิดเพี้ยน (Digital High Gain Servo Control) มีระบบอีควอไลเซอร์ EQ Plus ที่จะทำให้สามารถปรับซับวูฟเฟอร์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การใช้งานของแต่ละบุคคล และห้องต่างๆ อย่างเหมาะสม บริษัท Sunfire เคยออกแบบซับวูฟเฟอร์ที่เน้นให้มีขนาดเล็กมากๆ แต่มีพลังขับอย่างชนิดสั่นสะเทือนห้อง ซึ่งในช่วงเวลาขณะนั้น พ่อมดอิเล็คทรอนิกส์ บ๊อบ คาร์เวอร์ มีส่วนในการออกแบบภาคขยายคลาส T ขนาดเล็กแต่กำลังขับสูงที่สุดในโลก บรรจุลงไปในตู้ซับวูฟเฟอร์ บริษัท Rel Acoustics เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่เน้นการผลิตซับวูฟเฟอร์คุณภาพสูง โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากความพยายามที่จะทำให้เสียงต่ำมีมิติที่สมบูรณ์ ในระบบโฮมออดิโอ ย้อนคืนไปสู่รสชาติของการแสดงคอนเสิร์ตที่สมบูรณ์ บริษัท KEF แห่งอังกฤษ ที่ถือว่าเป็นบริษัทลำโพงอนุรักษ์นิยม ที่ประสบผลสำเร็จที่สุดในระดับโลกได้ออกแบบแอคทีฟซับวูฟเฟอร์ ออกมาหลายรุ่น อาทิ REFERENCE 8b ที่ใช้ตัวขับ 9 นิ้ว พร้อมแอมป์คลาส D กำลังขับ 500 วัตต์ x 2 ซับวูฟเฟอร์ รุ่น KC62 ที่มีขนาดกะทัดรัดที่สุด รวมถึงรุ่นใหม่ KC92 ที่มีขนาดกลางๆ ตัวขับ9 นิ้วและแอมป์คลาส D 1000 วัตต์!!! ในแง่ของการใช้ Sub-Woofer กับระบบฟังเพลงในบ้าน ผมไม่เห็นว่าจะเป็นสิ่งผิดแปลกพิสดาร หรือย้อนแย้งอะไร ตราบเท่าที่ผู้ฟังยังรู้สึกว่า เสียงต่ำมีสเกลเสียงที่เบาบาง ไม่เต็มที่เหมือนความถี่กลางแหลม เราก็สามารถเพิ่มเข้าไปได้ แต่… ต้องเพิ่ม เสริมลงไปอย่างเหมาะสม และเข้าใจเรื่องของการเซ็ตอัพ สี่ประการ ที่สำคัญยิ่ง คือ 1. สถานที่วาง และจำนวนของตู้ซับวูฟเฟอร์ 2. การปรับค่าจุดตัดครอสโอเวอร์ 3. การปรับระดับความดัง Level 4. การปรับ Phase ในตอนถัดไป The Light of Audiophile ตอนที่ 7 เราจะมาพิเคราะห์ เรื่องเทคนิคเบื้องต้นในการเซ็ตอัพ ปรับค่าแอคทีฟซับวูฟเฟอร์กันครับ
JBL SUMMIT SERIES ลำโพง JBL รุ่น SUMMIT MAKALU ลำโพงตั้งพื้นระดับอ้างอิงรุ่นท็อปสุดในซีรีย์ ดีไซน์ลำโพง 3 ทาง ใช้ไดร์เวอร์ 12 นิ้ว (300 มิลลิเมตร) ในชื่อ SUMMIT MAKALU เป็นลำโพงรุ่นเรือธงในซีรีส์ SUMMIT ที่ถูกออกแบบและผลิตเพื่อตอบสนองนักฟังผู้รักและหลงใหลในทุกมิติของเสียงดนตรี มาคาลู (MAKALU) เป็นชื่อของยอดเขาที่สูงเป็นลำดับที่ 5 ของโลก และอยู่ห่างจากยอดเขาเอเวอเรสต์ 19 กิโลเมตร ด้วยรูปทรงที่สวยงามเช่น พีระมิด เป็นเป้าหมายสำคัญที่ท้าทายสำหรับนักไต่เขาจากทั่วโลก JBL จึงเลือกนำมาเป็นชื่อของลำโพงเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเปิดตัวในงานมิวนิกไฮเอนด์ 2025 SUMMIT MAKALU เป็นลำโพง 3 ทาง ตั้งพื้นขนาดใหญ่ มีเบสไดรเวอร์ขับเสียงต่ำขนาด 12 นิ้ว ใช้มิดเรนจ์ขนาด 8 นิ้ว ทำงานร่วมกับไดรเวอร์ขับเสียงแหลมขนาด 3 นิ้ว อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ JBL พร้อมกรวยฮอร์นขนาดใหญ่ ไดรเวอร์นี้คือ D2830K dual-diaphragm และ dual-motor compression ส่วนที่เป็นไดรเวอร์หลักของ SUMMIT MAKALU คือ ไดรเวอร์มิดเบส โครงโลหะหล่อขนาด 8 นิ้ว และวูฟเฟอร์เบส โครงโลหะหล่อขนาด 12 นิ้ว ความพิเศษของไดรเวอร์คู่นี้คือ การใช้กรวยไดรเวอร์ 3 เลเยอร์ Hybrid Carbon Cellulose Composite Cone (HC4) งานดีไซน์ล้ำยุคที่ใช้แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ และเยื่อกระดาษพิเศษประกบกัน โดยมีแกนกลางเป็น closed-cell foam กรวยไฮบริดนี้ถูกออกแบบเพื่อให้ได้กรวยไดรเวอร์ที่แข็งแกร่ง น้ำหนักเบาตามสเปค และเป็นปัจจัยหลักในการขับเสียงได้เต็มกำลัง โดยมีความผิดเพี้ยนน้อยที่สุด อุปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่งในการแบ่งแยกสัญญาณความถี่ไปยังไดรเวอร์แต่ละตัวใน SUMMIT MAKALU คือ ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก MultiCap™ ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบ single-wire และ bi-amp/bi-wire ในวงจรที่กล่าวมาของ JBL เลือกใช้คาปาซิเตอร์ขนาดเล็กจำนวนมากแทนการใช้คาปาซิเตอร์ขนาดใหญ่แบบเดิมๆ ผลที่ได้คือ สามารถลดค่า ESR (Electrostatic Resistance) และทำให้ไดรเวอร์ทำงานด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น งานออกแบบทั้งหมดนี้ทำให้ไดรเวอร์แต่ละตัวได้รับสัญญาณความถี่ครบถ้วน ขับขานพลังเสียงได้เต็มกำลัง เพิ่มได้นามิคของเสียง ให้เสียงดนตรีใสกระจ่างโดยไม่มีความผิดเพี้ยน JBL มิได้มุ่งเน้นเฉพาะการออกแบบไดรเวอร์และชิ้นส่วนครอสโอเวอร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ตู้ลำโพงก็ผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถันและผลิตด้วยงานวิศวกรรมชั้นยอดเพื่อผลทางอคูสติกที่ดีที่สุด ภายในตัวตู้มีการเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่ง ผนังตู้ด้านในมีส่วนโค้งเว้า และบุด้วยวัสดุซับเสียงเพื่อลดการสั่นค้างของคลื่นความถี่ในตัวตู้ ตู้ลำโพงสวยงามระดับงานผีมือ มีให้เลือกทั้งแบบสีดำเปียโนเงาวับ พร้อมสัญลักษณ์ยอดเขาสีแพลตตินัม และแบบสีน้ำตาลไม้ Ebony ทำสีเงาวับ ประดับสัญลักษณ์ยอดเขา (Summit) สีทอง ตู้ลำโพง SUMMIT MAKALU วางอยู่บนฐาน IsoAcoustic® ซึ่ง JBL ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อแยกความสั่นสะเทือนอันอาจเกิดขณะไดรเวอร์ขับพลังเสียง เพื่อให้ตู้ลำโพงวางอย่างมั่นคงบนพื้นห้อง ผลที่ได้ก็คือ เสียงเบสที่กระชับทุ้มลึก ให้เวทีเสียงที่กว้างสมจริง และแจกแจงตำแหน่งของเครื่องดนตรีอย่างใสกระจ่าง แม่นยำ เหมือนการฟังดนตรีแสดงสด ลำโพง JBL รุ่น SUMMIT PUMORI ลำโพง SUMMIT PUMORI เป็นลำโพงตั้งพื้นระดับอ้างอิง ถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองนักฟังดนตรีผู้หลงใหลในเสียงดนตรีอย่างจริงจัง สำหรับลำโพงในกลุ่มที่ใช้ไดรเวอร์ขนาด 10 นิ้ว (250 มิลลิเมตร) ก็ต้องถือว่า SUMMIT PUMORI เป็นลำโพงรุ่นเรือธงในซีรีส์นี้ ซึ่ง JBL ภูมิใจนำเสนอ การเลือกชื่อ พูโมริ (Pumori) มาเป็นชื่อลำโพงเรือธงรุ่นนี้ก็เพราะ พูโมริเป็นยอดเขาที่สูงถึง 7,161 เมตร อยู่ใกล้กับยอดเขาเอเวอเรสต์ จนได้รับการขนานนามว่า “บุตรสาวของเอเวอเรสต์” และเป็นยอดเขาที่นักไต่เขานิยมมาฝึกซ้อมความชำนาญและความมั่นใจ ก่อนการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ SUMMIT PUMORI ติดตั้งด้วยไดรเวอร์แบบ dual-diaphragm และ dual-motor compression รุ่น D2815K ขนาด 1.5 นิ้ว อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ JBL โดยทำงานร่วมกับ Horn ขนาดใหญ่ Sonoglass® High-Definition Imaging (HDI™) เพื่อถ่ายทอดเสียงความถี่สูง ส่วนไดรเวอร์หลักของ SUMMIT PUMORI คือ มิดเบสโครงโลหะหล่อขนาด 8 นิ้ว และ วูฟเฟอร์โครงโลหะหล่อขนาด 10 นิ้ว ไดรเวอร์ทั้งสองตัวนี้เลือกใช้กรวยไดอะแฟรมแบบ triple-layer ซึ่งเป็น Hybrid Carbon Cellulose Composite Cone (HC4) เป็นงานออกแบบล้ำยุค ใช้แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ และเยื่อกระดาษพิเศษประกบกัน โดยมีแกนกลางเป็น closed-cell foam กรวยแบบไฮบริดนี้ ถูกออกแบบคิดค้นเพื่อให้ได้กรวยไดรเวอร์ที่มีความแข็งแกร่ง แต่น้ำหนักเบา และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลำโพงขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง โดยมีค่าความผิดเพี้ยนต่ำที่สุด อุปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่ง สำหรับแบ่งแยกความถี่แต่ละช่องไปยังไดรเวอร์ในลำโพง SUMMIT PUMORI คือ ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก MultiCap™ ซึ่งรองรับการใช้งานทั้งแบบ single-wire และ bi-amp/bi-wire ในวงจรที่กล่าวมา JBL เลือกใช้คาปาซิเตอร์ขนาดเล็กจำนวนมาก แทนการใช้คาปาซิเตอร์ขนาดใหญ่จำนวนน้อยแบบเดิมๆ ผลที่ได้คือ สามารถลดค่า ESR (Electrostatic Resistance) และทำให้ไดรเวอร์ทุกตัวทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงขึ้น งานออกแบบทั้งหมดนี้ช่วยให้ไดรเวอร์แต่ละตัวได้รับสัญญาณความถี่ที่ครบถ้วน สามารถขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง เพิ่มไดนามิคของเสียง ให้เสียงดนตรีที่ใสกระจ่างคมชัด โดยไม่มีความผิดเพี้ยน ตัวตู้สวยหรูงามสง่า เพราะ JBL มิได้มุ่งเน้นเฉพาะการออกแบบไดรเวอร์และระบบครอสโอเวอร์ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ แต่ก็ยังออกแบบตู้ลำโพงอย่างพิถีพิถัน และผลิตด้วยงานวิศวกรรมอันสุดยอด เพื่อผลทางอคูสติกที่ดีที่สุด ภายในตัวตู้มีการเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่ง ผนังตู้ด้านในมีส่วนโค้งเว้า และบุด้วยวัสดุซับเสียง เพื่อลดการสั่นค้างของคลื่นความถี่ในตัวตู้ ตู้ลำโพงทำสีสวยงามระดับงานฝีมือ มีให้เลือกทั้งแบบตู้สีดำเปียโนเงาวับ พร้อมสัญลักษณ์ยอดเขาสีแพลตตินัม และแบบตู้สีน้ำตาลไม้ Ebony ทำสีเงางามประดับสัญลักษณ์ยอดเขา (Summit) สีทอง ตู้ลำโพง SUMMIT PUMORI วางตัวอยู่บนฐาน IsoAcoustic® ซึ่ง JBL ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อแยกความสั่นสะเทือนอันอาจเกิดขึ้นขณะไดรเวอร์ขับพลังเสียง เพื่อให้ตู้ลำโพงวางตัวอย่างมั่นคงบนพื้นที่รองรับ ผลที่ได้คือเสียงเบสที่กระชับทุ้มลึก ให้เวทีเสียงที่กว้างสมจริง และแจกแจงตำแหน่งของเครื่องดนตรีอย่างแจ่มชัด เหมือนการฟังดนตรีแสดงสด ลำโพง JBL รุ่น SUMMIT AMA ลำโพง SUMMIT AMA เป็นลำโพง Bookshelf ประเภทสองทาง คุณภาพระดับอ้างอิง ผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองนักฟังผู้หลงใหลในเสียงดนตรีอย่างแท้จริง สำหรับลำโพงในซีรีส์ซัมมิทที่ใช้ไดรเวอร์ขนาด 8 นิ้ว (200 มิลลิเมตร) ก็ต้องถือว่า SUMMIT AMA เป็นลำโพงรุ่นเรือธงที่ JBL ภูมิใจนำเสนอ ชื่อ อามา (Ama) มาจากยอดเขาชื่อว่า Ama Dablam แปลว่า “สร้อยคอของแม่” ยอดเขาอามามีความสูง 6,812 เมตร อยู่ด้านตะวันออกของเอเวอเรสต์เบสแคมป์ รูปทรงของยอดเขานี้โดดเด่นมีเอกลักษณ์ จึงถูกนำมาเป็นชื่อรุ่นของลำโพงขนาดวางหิ้งคุณภาพสูงเยี่ยมของ JBL SUMMIT AMA ถูกติดตั้งด้วยไดรเวอร์แบบ dual-diaphragm และ dual-motor compression รุ่น D2815K ขนาด 1.5 นิ้ว อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ JBL โดยจับคู่ทำงานกับ Horn ขนาดใหญ่ Sonoglass® High-Definition Imaging (HDI™) เพื่อขับขานเสียงในย่านความถี่สูง ส่วนไดรเวอร์หลักของ SUMMIT AMA คือ ไดรเวอร์โครงโลหะหล่อขนาด 8 นิ้ว (200 มิลลิเมตร) ไดรเวอร์นี้ถูกออกแบบให้ใช้กรวยไดอะแฟรมแบบ triple-layer ซึ่งเป็น Hybrid Carbon Cellulose Composite Cone (HC4) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ใช้แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์และเยื่อกระดาษชนิดพิเศษ ประกบเข้าด้วยกัน โดยมีแกนกลางเป็น closed-cell foam กรวยแบบไฮบริดนี้ ถูกออกแบบคิดค้นเพื่อให้ได้กรวยไดรเวอร์ที่มีความแข็งแกร่ง แต่น้ำหนักเบา และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลำโพงขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง โดยมีค่าความผิดเพี้ยนต่ำที่สุด อุปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่ง สำหรับแบ่งแยกความถี่แต่ละช่องไปยังไดรเวอร์ในลำโพง SUMMIT AMA คือ ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก MultiCap™ ซึ่งรองรับการใช้งานทั้งแบบ single-wire และ bi-amp/bi-wire ในวงจรที่กล่าวมา JBL เลือกใช้คาปาซิเตอร์ขนาดเล็กจำนวนมาก แทนการใช้คาปาซิเตอร์ขนาดใหญ่จำนวนน้อยแบบเดิมๆ ผลที่ได้คือ สามารถลดค่า ESR (Electrostatic Resistance) และทำให้ไดรเวอร์ทุกตัวทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงขึ้น งานออกแบบทั้งหมดนี้ช่วยให้ไดรเวอร์แต่ละตัวได้รับสัญญาณความถี่ที่ครบถ้วน สามารถขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง ช่วยเพิ่มไดนามิคของเสียง ให้เสียงดนตรีที่ใสกระจ่างคมชัด โดยปราศจากความผิดเพี้ยน ตัวตู้งานประณีตสง่างามระดับไฮเอ้นด์ เพราะ JBL มิได้มุ่งเน้นเฉพาะการออกแบบไดรเวอร์และระบบครอสโอเวอร์ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ แต่ก็ยังออกแบบตู้ลำโพงอย่างพิถีพิถัน และผลิตด้วยงานวิศวกรรมอันสุดยอด เพื่อผลทางอคูสติกที่ดีที่สุด ภายในตัวตู้มีการเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่ง ผนังตู้ด้านในมีส่วนโค้งเว้า และบุด้วยวัสดุซับเสียง เพื่อลดการสั่นค้างของคลื่นความถี่ในตัวตู้ ตู้ลำโพงทำสีสวยงามระดับงานฝีมือ มีให้เลือกทั้งแบบตู้สีดำเปียโนเงาวับ พร้อมสัญลักษณ์ยอดเขาสีแพลตตินัม และแบบตู้สีน้ำตาลไม้ Ebony ทำสีเงางามประดับสัญลักษณ์ยอดเขา (Summit) สีทอง ตู้ลำโพง SUMMIT AMA วางตัวอยู่บนฐาน IsoAcoustic® ซึ่ง JBL ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อแยกความสั่นสะเทือนอันอาจเกิดขึ้นขณะไดรเวอร์ขับพลังเสียง เพื่อให้ตู้ลำโพงวางตัวอย่างมั่นคงบนพื้นที่รองรับ ผลที่ได้คือเสียงเบสที่กระชับทุ้มลึก ให้เวทีเสียงที่กว้างสมจริง และแจกแจงตำแหน่งของเครื่องดนตรีอย่างแจ่มชัด เหมือนการฟังดนตรีแสดงสด สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับลำโพง JBL Summit Series เพิ่มเติมได้ที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด โทร : 02-256-0020
Mark Levinson 600 Series ปรีแอมปลิไฟเออร์ Mark levinson No 626 เปิดตัวอย่างหรูหราและสวยสง่า ด้วยปรัชญาการออกแบบ Tectonic และไฟหน้าจอสีแดงอันเป็นเสมือนลายเซ็นของ Mark Levinson งานดีไซน์ล้ำอนาคต ซึ่งยังคงยึดถือแนวทางรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่สร้างสมชื่อเสียงมานาน โดดเด่นด้วยความงามของไฟและความหรูเงางามของกระจกหน้าจอ ไม่เพียงความสวยงามของตัวเครื่องภายนอก แต่ทุกระบบภายในถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน วงจรอนาล็อคแบบ Pure Path และวงจรดิจิตอลที่ออกแบบให้เป็นอิสระ เพื่อให้เสียงดนตรีอันบริสุทธิ์ในทุกรายละเอียด เพื่อมอบประสบการณ์ในการฟังอันรื่นรมย์อย่างที่สุด โดยเฉพาะภาคดิจิตอลออดิโอที่ใช้อุปกรณ์ DAC รุ่น Precision Link III ซึ่งรองรับดิจิตอลอินพุตถึง 6 ชุด สามารถลดเสียงรบกวนและให้คุณภาพเสียงจากสัญญาณดิจิตอล ด้วยรายละเอียดสูงถึง 32-bit / 384kHz โดยมีอนาล็อคอินพุตแบบ Balanced และ Single-ended Mark levinson No 626 เป็นปรีแอมปลิไฟเออร์แบบ dual-monaural ซึ่งผสมผสานทั้งประสิทธิภาพระดับสุดยอดของอนาล็อคออดิโอ กับวงจรดิจิตอลออดิโออันล้ำยุค เพื่อรังสรรค์เสียงดนตรีที่สมจริงอย่างที่สุดจากแหล่งโปรแกรมของคุณ หัวใจหลักของ No 626 คือ การออกแบบผังวงจรอันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะ นั่นคือการออกแบบ dual-monaural ซึ่งแยก signal path อย่างเป็นอิสระ พร้อมปุ่มปรับระดับเสียงแบบ R-2R ladder volume control เพื่อความแม่นยำในการเพิ่ม-ลด ระดับเสียง โดยยังคงประสิทธิภาพของเสียงในทุกย่านความถี่ ในส่วนของภาคไลน์เสตจอินพุตประกอบด้วย Signal switching relays ซึ่งแยกเป็นอิสระ สำหรับอนาล็อคสเตริโออินพุตแต่ละชุด นั่นคือแบบ Balanced XLR 2 ชุด และแบบ RCA 3 ชุด และยังมี Phono อินพุต ทั้งแบบ MM และ MC ชุดอนาล็อคสวิชต์ที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้สัญญาณที่มี band width กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ยิ่งกว่านั้นทั้งวงจรสำหรับเพาเวอร์ซัพพลาย และวงจรสำหรับแหล่งโปรแกรมดิจิตอลยังถูกป้องกัน (Shielded) จากวงจรอนาล็อคและวงจรภาคโฟโน เพื่อให้ได้สัญญาณออดิโอที่มีคุณภาพสุดยอดอย่างแท้จริง Mark levinson No 626 สามารถต่อเชื่อมกับอุปกรณ์อื่นในระบบเสียงได้โดยง่าย เห็นได้จากจำนวนช่องอนาล็อคเอาต์พุต จึงสามารถใช้งานแบบฟลูเรนจ์ หรือผู้ใช้จะเลือกเป็นฟิลเตอร์ fourth order ที่ 80Hz เพื่อต่อใช้งานร่วมกับเพาเวอร์ซับวูฟเฟอร์ก็ทำได้เช่นกัน ปรีแอมป์ No 626 ยังเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ Mark levinson เลือกใช้อุปกรณ์แปลงสัญญาณ D/A Converter ตัวใหม่ คือ Precision Link III สำหรับดิจิตอลอินพุตทุกชุด หัวใจของอุปกรณ์นี้คือ ES9039PRO ชุด DAC แบบ 8-channel Hyperstream IV เสริมด้วยวงจรขจัด Jitter อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ Mark levinson บวกกับวงจร I/V แบบแยกอิสระอันเป็นเสาหลักของภาคประมวลผลดิจิตอล มีดิจิตอลอินพุต 6 ชุด ประกอบด้วย AES/EBU 1 ชุด, โคแอคเชียล 2 ชุด, ออปติคอล 2 ชุด และมีช่องเสียบแบบ USB-C 1 ช่อง เพื่อรับสัญญาณรายละเอียดสูงจาก DSD และ PCM ได้สูงถึงระดับ 32-bit / 384kHz ตัวเครื่องของปรีแอมป์ No 626 ถูกออกแบบในระบบผังแบบโมดูลาร์ เพื่อแยกภาคอนาล็อคและวงจรดิจิตอลให้เป็นอิสระจากส่วนเพาเวอร์ซัพพลาย Mark levinson ยังออกแบบการ Damp vibration และชุดฐานรองใต้เครื่องให้เครื่องมั่นคง และปลอดจากการสั่นสะเทือนของพื่นที่วางเครื่อง ตัวเครื่องด้านนอกขึ้นรูปด้วยอลูมิเนียมอโนไดซ์สีดำ เรียบหรูด้วยปุ่มกลมสีเงิน จอกระจกด้านหน้าแสดงผลด้วยไฟเรืองแสงสีแดงเมื่อเปิดใช้งาน ทุกชิ้นส่วนของปรีแอมป์ No 626 ถูกออกแบบและผลิตในสหรัฐอเมริกา และมีรีโมทคอนโทรลที่สามารถสั่งงานได้ทุกฟังก์ชั่น ให้มาพร้อมตัวเครื่อง (หมายเหตุ : Tectonic Industrial Design ที่ Mark levinson ใช้เป็นหลักในการออกแบบผลิตภัณฑ์ คือศาสตร์การออกแบบที่แสดงถึงสัจจะของวัสดุและโครงสร้าง ซึ่งจะบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงการใช้งานวัสดุตามคุณสมบัติและแบ่งแยกการใช้งานตามฟังก์ชั่นที่เป็นจริง) เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์รุ่นเรือธง Mark levinson No 631 Mark levinson No 631 ถือว่าเป็นเรือธงในบรรดาแอมปลิไฟเออร์ซีรีส์ 600 ถูกออกแบบให้เป็นระบบวงจร Fully differential และแยกภาคขยายอย่างเป็นอิสระ เป็นแอมปลิไฟเออร์ Monaural ระดับไฮเอนด์ ที่มีกำลังมหาศาลในการขับลำโพงคู่ใดก็ได้ ด้วยไดนามิคที่ยอดเยี่ยม และให้ทุกๆ รายละเอียดของเสียงดนตรีสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อ ถูกออกแบบและผลิตตามปรัชญา Pure Path circuit design จึงถ่ายทอดเสียงดนตรี ที่ให้เวทีเสียงทั้งลึกทั้งกว้าง แจกแจงมิติของเครื่องดนตรีแม่นยำชัดเจนจนน่าตื่นตะลึง อุปกรณ์ภายในทุกชิ้นถูกจัดวางอย่างสมดุล โครงสร้างถูกแยกส่วนโดยเฉพาะสำหรับทรานสฟอร์เมอร์แบบวงแหวน (Toroidal) ชนิด Ultra-low-noise ช่วยลดเสียงรบกวนต่อวงจรส่วนอื่นๆ อย่างได้ผล แอมปลิไฟเออร์ No 631 จึงอัดฉีดพลังให้กับลำโพง เพื่อขับขานเสียงดนตรีด้วยคุณภาพสุดยอด ชนิดที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเพราะวงจรภาคขยายถูกออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงเยี่ยม จึงแทบไม่ต้องการ feedback ในการให้เสียงดนตรีที่ปราศจากความผิดเพี้ยน และให้ bandwidth กว้างมาก ด้วยความสามารถในการอัดฉีดกระแสปริมาณมหาศาล แอมป์ No 631 จึงให้เสียงดนตรีได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วย bandwidth ที่กว้างขวางครอบคลุม แอมปลิไฟเออร์นี้จึงให้พลังขับเหลือเฟือสำหรับลำโพงทุกคู่ ให้เสียงที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่ไร้การรบกวนของคลื่นไฟฟ้า ให้รายละเอียดครบทุกย่านความถี่ เปิดโปร่งและนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะรับฟังเสียงวงออเคสตราที่บรรเลงเต็มที่ หรือจะเป็นเสียงแผ่วเบาจากเครื่องดนตรีน้อยชิ้น การวางผังชิ้นส่วนภายในเครื่องแอมป์ No 631 เป็นสถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ เพื่อแยกวงจรในส่วนอนาล็อคออกจากภาคเพาเวอร์ซัพพลาย โดยวางชิ้นส่วนสำคัญบนแท่นยางเฉพาะ Mark levinson เลือกใช้ระบบดูดซับความสั่นสะเทือนสำหรับฐานของตัวเครื่อง โดยออกแบบฐานรองที่มั่นคงและเป็นอิสระจากพื้นที่รองรับ เพื่อป้องกันการสั่นไหวที่อาจรบกวนการทำงาน รูปลักษณ์ภายนอกของแอมป์ No 631 ดีไซน์สง่าแบบทาวเวอร์ทรงสูง และได้ถูกออกแบบตามหลัก Tectonic โดยตัวเครื่องขึ้นรูปจากแผ่นอลูมิเนียม ชุปอโนไดซ์สีดำ วางตัวอย่างมั่นคงบนฐานสีเงินซิลเวอร์ ส่วนกลางด้านหน้าดูแวววาวด้วยวัสดุกระจก เดินขอบด้วนเส้นไปสีแดง เพื่อขับเน้นความงามของแผงหน้า แผงด้านบนเป็นแผ่นกระจก ดูเด่นด้วนเส้นไฟสีแดง พื้นที่ส่วนที่เหลือเป็นส่วนระบายความร้อน คือแผง heat sink เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการลดอุณหภูมิขณะใช้งาน ความโดดเด่นของแอมปลิไฟเออร์ No 631 - ออกแบบตามหลัก Tectonic Industrial Design ตกแต่งด้วยเส้นไฟสีแดง เอกลักษณ์ของ Mark levinson - ออกแบบวงจร Pure Path ทั้งแผงวงจรอนาล็อค และดิจิตอล - เป็นแอมปลิไฟเออร์แบบคลาส A / AB และสามารถเลือกโหมด High-Bias - มีอนาล็อคอินพุตแบบ Balanced และ Single-ended - ขั้วต่อลำโพงแบบ Hurricane Binding Post จำนวน 2 ชุด - เพาเวอร์ซัพพลายแบบ Toroidal Linear Ultra-low-noise - ทุกชิ้นส่วนถูกออกแบบและผลิตในสหรัฐอเมริกา เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ Mark levinson No 632 No 632 เป็นแอมปลิไฟเออร์ที่ถูกออกแบบตามหลัก Tectonic Industrial Design แสดงภาพลักษณ์ของการใช้วัสดุแต่ละประเภทอย่างเหมาะสมและลงตัว ภายใต้ตัวเครื่องที่ดูหนาหนักบึกบึน ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์โดดเด่นของผลิตภัณฑ์รุ่นต่างๆ ที่เคยสร้างชื่อเสียงมายาวนาน รูปทรงสวยงามด้วนเส้นสายของไฟที่ออกแบบใหม่ และดูแวววาวเรียบหรูด้วยวัสดุกระจก Mark levinson No 632 เป็นออดิโอแอมปลิไฟเออร์ dual-monaural ที่แยกภาคขยายอย่างเป็นอิสระอยู่บนแท่นเดียวกัน มีกำลังขับมหาศาลในการขับลำโพงด้วยไดนามิคที่ยอดเยี่ยม และแจกแจงทุกรายละเอียดของเสียงดนตรี ถูกออกแบบและผลิตตามปรัชญา Pure Path Circuit Design จึงสามารถขับขานเสียงดนตรีที่ให้เวทีเสียงทั้งลึกทั้งกว้าง มีมิติของเครื่องดนตรีที่แม่นยำชัดเจน น่าตื่นตะลึง อุปกรณ์ภายในทุกชิ้นถูกวางผังอย่างสมดุล มีการแยกโครงสร้างเฉพาะสำหรับทรานสฟอร์เมอร์ ทอรอยดัล (Toroidal) ชนิด Ultra-low-noise ลดเสียงรบกวนต่อวงจรอื่นๆ อย่างได้ผล แอมป์ No 632 จึงอัดฉีดพลังให้ลำโพง ให้เสียงดนตรีด้วยคุณภาพสุดยอดชนิดที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเพราะวงจรภาคขยายถูกออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพสูงเยี่ยม จึงใช้วงจร Feedback น้อยมากในการให้เสียงดนตรีที่ปราศจากความผิดเพี้ยน และให้ Band width กว้างมากอย่างไม่น่าเชื่อ ความยึดมั่นในหลักการออกแบบภาคขยาย เป็นข้อโดดเด่นที่สร้างสมชื่อเสียงให้กับ Mark levinson มานานแสนนาน แอมป์ No 632 จึงสามารถให้พลังขับมหาศาลสำหรับลำโพงทุกคู่ โดยให้เสียงสะอาดบริสุทธิ์ ไร้การรบกวนของคลื่นไฟฟ้า ให้รายละเอียดครบถ้วนทุกย่านความถี่ ไม่ว่าจะรับฟังเสียงจากวงออเคสตราที่บรรเลงเต็มที่ หรือเสียงแผ่วเบาจากเครื่องดนตรีน้อยชิ้น รูปลักษณ์ภายนอกของ No 632 ออกแบบตามหลัก Tectonic ตัวเครื่องขึ้นรูปจากแผ่นอลูมิเนียมชุปอโนไดซ์สีดำ วางตัวเครื่องมั่นคงบนฐานสีเงินซิลเวอร์ ด้านหน้าแวววาวด้วยวัสดุกระจก เดินขอบด้วยเส้นไฟสีแดง แผงด้านบนเป็นวัสดุกระจก ขับเน้นด้วยไฟสีแดง พื้นที่นอกนั้นเป็นส่วนระบายความร้อนด้วยแผง Heat sink ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิขณะเปิดใช้งาน ความโดดเด่นของแอมปลิไฟเออร์ No 632 - ออกแบบตามหลัก Tectonic Industrial Design ตกแต่งด้วยเส้นไฟสีแดง เอกลักษณ์ของ Mark levinson - ออกแบบวงจร Pure Path ทั้งแผงวงจรอนาล็อค และดิจิตอล - เป็นแอมปลิไฟเออร์แบบคลาส A / AB - เชื่อมต่ออนาล็อคอินพุตแบบ Balanced และ Single-ended - ขั้วต่อลำโพงแบบ Hurricane Binding Post จำนวน 2 ชุด - เพาเวอร์ซัพพลายแบบ Toroidal Linear Ultra-low-noise - ทุกชิ้นส่วนออกแบบและผลิตในสหรัฐอเมริกา สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ Mark Levinson 600 Series เพิ่มเติมได้ที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด โทร : 02-256-0020