เปิดตัวหูฟัง JBL Tour Series รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมยกระดับประสบการณ์เสียงรูปแบบใหม่ ใช้งานได้แม้ไม่มีสัญญาณบนเครื่องบิน บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด เปิดตัวสองหูฟังรุ่นใหม่ล่าสุดในซีรีส์ JBL Tour ได้แก่ JBL Tour Pro 3 และ JBL Tour One M3 Smart Tx อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำที่ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์การเดินทาง การทำงาน และความบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้บริหาร นำโดย คุณพัชรวดี ว่องปรีชา Chief Marketing Officer, คุณทิยา กาญจนชัยภูมิ Chief Operation Officer - Lifestyle & Online Business, คุณอานนท์ กิติคารทูล Director of Lifestyle & Online Business จาก Mahajak Development, Angeline Goh - Senior Business Development Manager Harman Asia Pacific และ Bevan Lee – Product Planning & Strategy Manager Harman Asia Pacific ภายใต้คอนเซ็ปต์ “FIRST DOESN’T FOLLOW” โดยเนรมิตบรรยากาศสุดสมจริง จำลองสนามบินและห้องโดยสารเครื่องบิน เพื่อโชว์จุดแข็งของหูฟังทั้งสองรุ่นที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้ขณะอยู่บนเครื่องบินโดยไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์มือถือ พร้อมโชว์พิเศษจาก Bowky Lion และทอล์คสุด Exclusive กับคุณบาส Go Went Go ณ M-Hall, Mahajak Building ไฮไลท์ของงานครั้งนี้ นอกจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีโชว์สุดพิเศษจาก Bowky Lion นักร้องสาวเจ้าของเสียงทรงพลังและบทเพลงฮิต "ทราบแล้วเปลี่ยน" ที่มาร่วมสร้างสีสันให้กับเที่ยวบินนี้ด้วยมินิคอนเสิร์ตสุดอบอุ่น พร้อมด้วย Special Talk จาก คุณบาส Go Went Go อินฟลูเอนเซอร์และเจ้าของเพจท่องเที่ยวชื่อดัง ที่มาแชร์ประสบการณ์การเดินทางพร้อมเคล็ดลับในการเลือกหูฟังคู่ใจสำหรับการเดินทาง JBL Tour Pro 3 หูฟัง True Wireless Stereo (TWS) ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเทคโนโลยี JBL Spatial 360 พร้อม Head Tracking, True Adaptive Noise Cancellation 2.0 และ Smart Charging Case™ และยังเป็นหูฟัง TWS รุ่นแรกที่มีฟังก์ชัน Auracast™ JBL Tour One M3 Smart Tx คือหูฟัง Over-Ear รุ่นเรือธงที่มาพร้อมเทคโนโลยี True Adaptive Noise Cancelling ปรับระดับการตัดเสียงรบกวนแบบเรียลไทม์ และโหมด Smart Ambient ที่ให้ผู้ใช้งานรับรู้เสียงภายนอกได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง มาพร้อมเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Smart TX หน้าจอสัมผัส LED Display ให้ผู้ใช้ควบคุมฟังก์ชันหลักได้สะดวกแม้ขณะต่อเครื่องบิน มอบประสบการณ์การฟังที่เหนือชั้นในทุกการใช้งาน ร่วมเปิดประสบการณ์เหนือระดับไปกับมิติแห่งเสียงคุณภาพสูงจาก “JBL” (เจบีแอล) ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมมหาจักรฯ ทุกสาขา, ร้าน Sound City ทุกสาขา, ร้าน Dream Theater, www.mahajak.com และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด Line : http://lin.ee/dKalYBy Facebook : https://www.facebook.com/MahajakLifestyle IG : https://www.instagram.com/mahajaklife/ Mahajak Service Center 1516 หรือ http://www.mahajak.com/th/
BenQ ร่วมกับ Goldenduck Residential สร้างปรากฏการณ์ ณ งาน BAV Hi-End Show 2025 เปิดตัว BenQ W4100i โปรเจคเตอร์ 4K HDR Home Cinema ครั้งแรกในประเทศไทย! เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา – ในฐานะผู้นำในวงการระบบภาพและเสียง Goldenduck International ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Goldenduck Residential ร่วมกับ BenQ ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ณ งาน BAV Hi-End Show 2025 ด้วยความร่วมมือสุดพิเศษในการเปิดตัว โปรเจคเตอร์โฮมซีเนม่ารุ่นใหม่ล่าสุด BenQ W4100i 4K HDR Home Cinema Projector ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวและจัดแสดงศักยภาพที่แท้จริงของโปรเจคเตอร์รุ่นนี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย Goldenduck International (โกลเด้นดัก อินเตอร์เนชันแนล) ผู้บุกเบิกและผู้นำในอุตสาหกรรมภาพและเสียงระดับโรงภาพยนตร์ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนานถึง 48 ปี ได้ร่วมกันนำเสนอ BenQ W4100i เป็นครั้งแรกในฐานะพาร์ทเนอร์ BenQ ตอกย้ำความเป็นอันดับหนึ่งในด้านโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์และโรงภาพยนตร์ภายในบ้าน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือระดับ BenQ (เบ็นคิว) เป็นที่รู้จักในฐานะผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีภาพและเสียงชั้นนำระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโปรเจคเตอร์ BenQ ได้สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้าน Home Cinema มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2009 ด้วยการได้รับ ISF Certification ครั้งแรกในปีนั้น และยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง อาทิ 1st RGBRGB Wheel ในปี 2013, 1st 1080P 100% Rec.709 w/CinematicColor ในปี 2015, และ 1st 4K SSI DCI-P3 w/HDR-PRO ในปี 2017 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อประสบการณ์การรับชมที่เหนือกว่า 1. ความร่วมมือครั้งพิเศษกับ Goldenduck Residential ที่งาน BAV Hi-End Show 2025 Goldenduck Residential มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอความร่วมมือครั้งสำคัญกับ BenQ ในงาน BAV Hi-End Show 2025 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้ที่ชื่นชอบระบบภาพและเสียงระดับไฮเอนด์ ความร่วมมือครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Goldenduck ในการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดีที่สุดเพื่อยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงภายในบ้าน 2. งานเปิดตัว BenQ W4100i ที่ห้อง Home Cinema โดย Goldenduck Residential (ชั้น 11 ห้อง 1153) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา Goldenduck Residential ได้จัดงานเปิดตัว BenQ W4100i อย่างเป็นทางการ ณ ห้อง Home Cinema ของ Goldenduck Residential ห้อง 1153 ชั้น 11 ที่งาน BAV Hi-End Show 2025 ซึ่งเป็นห้องที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมของโรงภาพยนตร์ภายในบ้านอย่างสมบูรณ์แบบ โดยได้รับเกียรติจากแขกพิเศษและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานเพื่อชมศักยภาพที่แท้จริงของโปรเจคเตอร์รุ่นนี้อย่างใกล้ชิด งานนี้ยังได้รับเกียรติจาก คุณสิทธิพร ศรีสงวนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Goldenduck International ร่วมด้วย คุณ Roger Chen, Country Head Manager จาก BenQ ในการให้ข้อมูลและตอบข้อซักถาม 3. การสาธิตเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยคุณ Roger Chen ภายในงาน คุณ Roger Chen, BenQ - Country Head Manager ได้ให้เกียรติเป็นผู้สาธิตและเล่าถึงความเป็นมาของ BenQ Home Cinema Series ตั้งแต่ปี 2009 ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่อัดแน่นอยู่ใน BenQ W4100i อาทิ เทคโนโลยี CinematicColor™ 100% DCI-P3, HDR-PRO™, Filmmaker Mode™, การเล่น 24P Native และ AI Cinema Mode ซึ่งได้รับความสนใจจากแขกพิเศษเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "Wow" กับความอัจฉริยะและคุณภาพของภาพที่ BenQ W4100i สามารถนำเสนอได้ 4. คุณสมบัติเด่นและราคาที่จับต้องได้ของ BenQ W4100i โปรเจคเตอร์ BenQ W4100i มาพร้อมคุณสมบัติเด่นที่ออกแบบมาเพื่อประสบการณ์โฮมซีเนม่าที่สมบูรณ์แบบตามที่คุณ Roger Chen ได้เน้นย้ำไว้: • คุณภาพของภาพระดับภาพยนตร์: W4100i เป็นโปรเจคเตอร์ 4K HDR ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี CinematicColor™ ซึ่งให้ความแม่นยำของสี 100% DCI-P3 ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในสตูดิโอฮอลลีวูด สร้างขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการชมภาพยนตร์ในแบบที่ผู้กำกับตั้งใจ – ด้วยสีสันที่เข้มข้น รายละเอียดที่เหลือเชื่อ และความแม่นยำระดับภาพยนตร์ • การอัปเกรดคุณภาพภาพและเสียง: มีการอัปเกรดที่สำคัญหลายอย่าง อาทิ HDR-PRO™ ล่าสุด ซึ่งปรับสมดุลคอนทราสต์และความสว่างแบบไดนามิก ทำให้ได้ภาพเงาและไฮไลท์ที่สมจริงยิ่งขึ้น • ประสบการณ์การรับชมที่สมจริง: รองรับ Filmmaker Mode™ ทำให้คุณเห็นทุกเฟรมตรงตามที่ผู้กำกับตั้งใจไว้ ไม่มีกระบวนการประมวลผลมากเกินไปหรือการปรับภาพเคลื่อนไหวให้ราบรื่น นอกจากนี้ยังรองรับการเล่น 24P แบบ Native ทำให้ภาพเล่นได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีอาการกระตุก แม้ในโหมด HDR ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างมากสำหรับคอหนังตัวจริง • ความเข้ากันได้กับไลฟ์สไตล์: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคอหนังตัวยง ครอบครัวที่ชอบดูหนังด้วยกันแบบดื่มด่ำ และแฟนๆ โฮมซีเนม่าที่ต้องการความคมชัด ความลึก และสีสันในระดับถัดไป – ได้ที่บ้านเลย ไม่ว่าจะดูหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูด หรือสตรีมซีรีส์จาก Netflix ก็สร้างความประทับใจได้อย่างแน่นอน • ฟังก์ชันมากกว่าแค่ดูหนัง: รองรับ HDMI 2.1, eARC และมี Android TV ในตัว ทำให้คุณสามารถสตรีมจาก Netflix, Disney+, YouTube และอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม สามารถเชื่อมต่อ PS5, Switch หรือซาวด์บาร์ได้อย่างง่ายดาย ด้วยความหน่วงต่ำเป็นพิเศษ • AI Cinema Mode: เป็นโบนัสที่ช่วยวิเคราะห์แต่ละเฟรมอย่างชาญฉลาดขณะที่คุณสตรีม มันช่วยเพิ่มความคมชัด ความอิ่มตัวของสี HDR และลด Noise แบบเรียลไทม์ ดังนั้นแม้แต่เนื้อหาสตรีมมิ่งที่ถูกบีบอัดก็ยังดูสะอาด สดใส และเหมือนภาพยนตร์ • การออกแบบและการติดตั้งที่ยืดหยุ่น: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคอนโด ด้วยฟังก์ชัน ซูม 1.3 เท่า และ Lens Shift 4 ทิศทาง (แนวตั้ง 0%-60% และแนวนอน +/-15% สูงสุด) ทำให้สามารถปรับภาพได้แม้ในห้องที่แคบ ไม่ว่าจะติดตั้งบนเพดานหรือวางบนโต๊ะ ก็สามารถฉายภาพได้ใหญ่ถึง 150 นิ้วได้อย่างสวยงาม การออกแบบที่หรูหราเรียบง่ายเข้ากับการตกแต่งสมัยใหม่ได้อย่างง่ายดาย • ประสิทธิภาพและราคาที่เหนือกว่า: คุณ Roger ย้ำว่า "เพราะมันเป็นมากกว่าแค่โปรเจคเตอร์ – มันคือประสบการณ์ครับ ด้วย 4K HDR, สี 100% DCI-P3, การเล่น 24P, AI Cinema Mode และความแม่นยำของภาพที่ไม่ลดทอน คุณจะได้โฮมซีเนม่าที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่หลงใหลในภาพยนตร์อย่างแท้จริง ในระดับและช่วงราคาเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับโรงภาพยนตร์จริงๆ ได้เท่านี้อีกแล้วครับ" คุณ Roger Chen, Country Head Manager และ คุณสุทธิณันท์ สุขสุทธิ์, B2B Corporate Sales Manager จาก BenQ ได้ร่วมกันเล่าถึงความพิเศษของ W4100i ศักยภาพ นวัตกรรม และฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับสื่อมวลชนและผู้ที่สนใจ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากต้องบอกเลยว่า W4100i ให้มาครบเกินราคาไปมากเลยทีเดียว กับราคาเปิดตัวสุดพิเศษเพียง 99,000 บาทเท่านั้น เป็นราคาที่จับต้องได้สำหรับโปรเจคเตอร์ที่มาพร้อมคุณสมบัติครบครันในระดับไฮเอนด์ ข้อมูลสินค้า BenQ W4100i Projector: https://benqurl.biz/4mxWfQT 5. ติดตามรับชมสัมภาษณ์พิเศษ สำหรับผู้ที่พลาดงานเปิดตัว สามารถติดตามรับชมบทสัมภาษณ์พิเศษโดย Hi-T และคุณ Roger Chen ได้ทางเพจ Goldenduck Residential เร็วๆ นี้ 6. นัดหมายเพื่อรับชม/สาธิตสินค้า Goldenduck Residential ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจและต้องการสัมผัสประสบการณ์โฮมซีเนม่าระดับโลกก่อนใคร สามารถติดต่อ Goldenduck Residential เพื่อขอนัดหมายสาธิตและจับจอง BenQ W4100i ล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ที่: • Facebook Page: https://www.facebook.com/goldenduck.res • อีเมล: goldenduck.residential@gmail.com • ติดต่อฝ่ายขาย โทร: +66 93 382 8448 Goldenduck Residential และ BenQ ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับสนับสนุนสถานที่ในการถ่ายทำสัมภาษณ์พิเศษในครั้งนี้: ขอขอบคุณ BAV Hi-End Show 2025, Audiophile Videophile และ โรงแรม Marriott Marquis (Sukhumvit 22) ที่ได้เอื้อเฟื้อสถานที่สำหรับการถ่ายทำ . #BenQ #Goldenduck #GoldenduckResidential #W4100i #Projector #HomeCinama #4K #BAV2025 #Thailand
JBL เปิดตัว JBL Charge 6 และ JBL Flip 7 ลำโพงพกพารุ่นใหม่ล่าสุด อัพเกรดเสียงแน่น ฟีเจอร์ครบ พร้อมสายคล้องดีไซน์ใหม่พกพาสะดวก ในคอนเซ็ปต์ “MADE TO BE HEARD” บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด เปิดตัวลำโพงพกพา 2 รุ่นใหม่ล่าสุด “JBL Charge 6” และ “JBL Flip 7” อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจากคณะผู้บริหาร Harman International และ Mahajak Development นำโดย คุณพัชรวดี ว่องปรีชา Chief Marketing Officer, คุณทิยา กาญจนชัยภูมิ Chief Operation Officer - Lifestyle & Online Business, คุณอานนท์ กิติคารทูล Director of Lifestyle & Online Business จาก Mahajak Development, Angeline Goh - Senior Business Development Manager Harman Asia Pacific และ Bevan Lee – Product Planning & Strategy Manager Harman Asia Pacific โดยงานจัดขึ้นในบรรยากาศสบายๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “MADE TO BE HEARD” พร้อมการสาธิตการใช้งานลำโพงทั้งสองรุ่นและกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ตอบโจทย์กับทุก lifestyle ให้กับเหล่าคนรักเสียงเพลงได้สัมผัสประสบการณ์คุณภาพเสียง ผ่านสีสันและท่วงทำนองแห่งความสนุกที่สามารถสร้างสรรค์ได้ด้วยตนเอง ณ ร้าน Bottomless สุขุมวิท 33 พัฒนาการสำคัญของ Charge 6 และ Flip 7 ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพเสียงที่ทรงพลังขึ้น เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดวิเคราะห์เสียงอัตโนมัติ AI Sound Boost ที่ช่วยเพิ่มมิติและพลังเสียงให้สมดุลยิ่งขึ้นทุกย่านความถี่ ดีไซน์กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68, ฟีเจอร์ Auracast™ และสายคล้องแบบใหม่ ที่ให้ความสะดวกสบายในการพกพา พร้อมดีไซน์เข้ากับตัวลำโพงอย่างลงตัว JBL Charge 6 ลำโพงแบตอึดที่หลายคนรอคอย มาพร้อมพลังเสียงหนักแน่นและการใช้งานที่ยาวนานถึง 28 ชั่วโมง ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง พร้อมฟังก์ชัน Powerbank สำหรับชาร์จสมาร์ทโฟนหรือ Gadget อื่นๆ ผ่านพอร์ต USB-C ได้ทันที JBL Flip 7 มาในขนาดกะทัดรัด มาพร้อมสายคล้องดีไซน์ใหม่แบบแยกชิ้นที่ช่วยให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น พกพาสะดวก ไม่ว่าจะฟังเพลง ดูหนัง หรือปาร์ตี้ริมสระก็ตาม มาพร้อมแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 16 ชั่วโมง, พร้อมลุยไปกับคุณทุกที่ พกพาง่ายด้วยดีไซน์กะทัดรัดและสายคล้องแบบใหม่ที่แข็งแรงและถอดเก็บได้ โดยทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อแบบ Auracast™ เพื่อเชื่อมต่อลำโพงหลายตัวให้เสียงกระหึ่มรอบทิศ นอกจากไฮไลท์ของผลิตภัณฑ์แล้ว ภายในงานยังมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตสุดพิเศษจาก วง FLI:P ที่มาสร้างสีสันและส่งต่อพลังเสียงแบบจัดเต็มในธีม JBL Meet Music Party พร้อมแฟชั่นไอเทมสุดคูลจังหวะดนตรีสุดมันส์ และพลังของสีสันที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ JBL อย่างเต็มที่ให้กับผู้ร่วมงาน พร้อมกิจกรรมให้ทดลองใช้งานลำโพงทั้งสองรุ่นอย่างใกล้ชิด ร่วมเปิดประสบการณ์เหนือระดับไปกับมิติแห่งเสียงคุณภาพสูงจาก “JBL” (เจบีแอล) ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมมหาจักรฯ ทุกสาขา, ร้าน Sound City ทุกสาขา, ร้าน Dream Theater, www.mahajak.com และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด Line : http://lin.ee/dKalYBy Facebook : https://www.facebook.com/MahajakLifestyle IG : https://www.instagram.com/mahajaklife/ Mahajak Service Center 1516 หรือ http://www.mahajak.com/th/
Goldenduck และ PML Sound International ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์: Goldenduck ขึ้นแท่นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ Paradigm และ Anthem ในประเทศไทย! วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2568 – Goldenduck มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ PML Sound International (พีเอ็มแอล ซาวด์ อินเตอร์เนชั่นแนล) การจับมือกันครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือครั้งแรกโดย Goldenduck ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่าย สำหรับสองแบรนด์เรือธงจาก PML Sound International ได้แก่ Paradigm (พาราไดม์) และ Anthem (แอนเธ็ม) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้จะเป็นการพลิกโฉมวงการเครื่องเสียงและโฮมเธียเตอร์ในประเทศไทย โดย Goldenduck จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Paradigm ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านลำโพงคุณภาพสูงที่ให้เสียงเที่ยงตรงและทรงพลัง และ Anthem แบรนด์ผู้ผลิตเครื่องขยายเสียงและโปรเซสเซอร์สำหรับโฮมเธียเตอร์ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับในประสิทธิภาพ มาพร้อมเทคโนโลยีและนวัตกรรมความล้ำสมัย ในราคาที่จับต้องได้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยได้ง่ายและครอบคลุมยิ่งขึ้น Goldenduck ได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ดังระดับโลกให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และในอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ Leica, Steinway & Sons, Lyngdorf Audio, Waterfall Audio, Procella, Audio Control และอีกมากมาย Goldenduck เป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิก ผู้นำในอุตสาหกรรมภาพและเสียงระดับโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประสบการณ์กว่า 48 ปี ด้วยความชำนาญ ความเชี่ยวชาญ ปรัชญาในการดำเนินธุรกิจที่ยึดถือมายาวนาน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่เป็นเลิศ ที่มาพร้อมศักยภาพทั้งในด้านการจัดจำหน่าย ติดตั้ง โซลูชั่นระบบภาพและเสียงระดับมืออาชีพ สำหรับโรงภาพยนตร์ สตูดิโอผลิตรายการ ระบบมัลติมีเดียขนาดใหญ่ ไปจนถึงโรงภาพยนตร์ในบ้าน โฮมเธียเตอร์ และล่าสุดกับโซลูชั่นภาพและเสียงสำหรับที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ซึ่งทำให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งด้านผลิตภัณฑ์ รวมถึงความต้องการของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย คุณสิทธิพร ศรีสงวนสกุล ประธานกรรมการบริหาร Goldenduck International กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เริ่มต้นความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์กับ PML Sound International การได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยสำหรับแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลอย่าง Paradigm และ Anthem ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Goldenduck ในการนำเสนอประสบการณ์ด้านภาพและเสียงที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าชาวไทย ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการจัดจำหน่ายและเครือข่ายที่แข็งแกร่งของเรา เรามั่นใจว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าและสร้างการเติบโตให้กับทั้งสองแบรนด์ในตลาดประเทศไทยได้อย่างมั่นคง” คุณบาร์ตอซ ฮายโบวิช ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชีย จาก PML Sound International กล่าวเสริมว่า “นี่คือความร่วมมือครั้งแรกและเป็นก้าวสำคัญสำหรับ PML Sound International ในการขยายตลาดและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในประเทศไทย เราเชื่อมั่นในศักยภาพของ Goldenduck ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมภาพและเสียงที่จะสามารถนำเสนอ Paradigm และ Anthem ไปสู่ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการที่เป็นเลิศ กลยุทธ์ตลาด และการจัดจำหน่ายของ Goldenduck จะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันให้แบรนด์ทั้งสองเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมอบประสบการณ์เสียงที่เหนือระดับให้แก่ผู้ใช้งานทุกท่าน” กลุ่มผลิตภัณฑ์เรือธงที่ Goldenduck จัดทัพบุกตลาดไทย ภายใต้ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง Goldenduck International และ PML Sound International ทาง Goldenduck มีความยินดีที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์จากสองแบรนด์ระดับโลกอย่าง Anthem และ Paradigm เพื่อยกระดับประสบการณ์ด้านเสียงและโฮมเธียเตอร์ที่สมบูรณ์แบบให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยโดยเฉพาะ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่พร้อมทำตลาดในประเทศไทยมีดังนี้: Anthem: ยกระดับประสบการณ์โฮมเธียเตอร์ระดับไฮเอนด์ Anthem คือผู้นำด้านเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ประสิทธิภาพสูงจากแคนาดา ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Room Correction อันเป็นเอกลักษณ์ (ARC® Genesis) ซึ่งช่วยปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมกับสภาพอะคูสติกของห้องได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้เสียงที่สมจริงและเต็มอิ่มที่สุด MRX Series (AV Receiver): เป็น AVR ที่ครบครันด้วยฟังก์ชันการทำงานที่จำเป็นสำหรับการสร้างระบบโฮมเธียเตอร์ที่ยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพระดับไฮเอนด์ในงบประมาณที่คุ้มค่า มาพร้อมกับเทคโนโลยี ARC® Genesis ที่ช่วยปรับแต่งเสียงให้เข้ากับสภาพห้องได้อย่างลงตัว รองรับระบบเสียงรอบทิศทางล่าสุด และการเชื่อมต่อที่หลากหลาย MCA Series (Multi-Channel Amplifier): เพาเวอร์แอมป์แบบหลายแชนเนลที่ออกแบบมาเพื่อมอบกำลังขับมหาศาล เสียงที่สะอาดบริสุทธิ์ และความเสถียรที่ยอดเยี่ยมแม้ในระดับเสียงที่สูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดึงศักยภาพสูงสุดของลำโพงออกมา เพื่อเสียงที่มีพลวัตและรายละเอียดคมชัด AVM Series (A/V Processor / Preamplifier): โปรเซสเซอร์เสียง/ภาพระดับเรือธงที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการประมวลผลสัญญาณเสียงและภาพ เหมาะสำหรับนักเล่นโฮมเธียเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่งระบบอย่างละเอียด รวมถึงการรองรับเทคโนโลยีเสียงและภาพแห่งอนาคต มอบประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่สมจริงและดื่มด่ำไร้ที่ติ Paradigm: ลำโพงและซับวูฟเฟอร์ที่ให้เสียงสมจริงเหนือระดับ Paradigm แบรนด์ลำโพงชั้นนำจากแคนาดาที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ลำโพงที่ให้เสียงเที่ยงตรง เป็นธรรมชาติ และทรงพลัง เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งในระบบโฮมเธียเตอร์และสเตอริโอ Subwoofer Series (ซับวูฟเฟอร์): XR SERIES: ซับวูฟเฟอร์ระดับสูงสุดของ Paradigm ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์เสียงเบสที่ลึกที่สุด หนักแน่นที่สุด และแม่นยำที่สุด ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยให้ควบคุมเสียงเบสได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ในความถี่ต่ำมาก เหมาะสำหรับห้องขนาดใหญ่และผู้ที่ต้องการความสมจริงสูงสุดของเสียงเบส Defiance® S-Series: ซับวูฟเฟอร์ประสิทธิภาพสูงที่ให้เสียงเบสที่ทรงพลัง กระชับ และหนักแน่น โดดเด่นด้วยการควบคุมที่ยอดเยี่ยมและการตอบสนองความถี่ที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับทั้งการชมภาพยนตร์แอคชั่นที่ต้องการแรงกระแทก และการฟังเพลงที่ต้องการความละเอียดของเสียงเบส Essentials Series: ซับวูฟเฟอร์ที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสิทธิภาพเสียงเบสที่น่าประทับใจในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย มอบเสียงเบสที่อิ่มเต็มและมีพลัง ช่วยเติมเต็มระบบเสียงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการยกระดับประสบการณ์เสียงโดยไม่ใช้งบประมาณมากนัก Home Theater / Stereo (ลำโพงสำหรับโฮมเธียเตอร์และสเตอริโอ) Monitor SE Series: ลำโพงซีรีส์ยอดนิยมที่ให้เสียงที่โปร่งใส คมชัด และมีรายละเอียดครบถ้วน ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมของ Paradigm ในราคาที่คุ้มค่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมสำหรับทั้งการฟังเพลงและชมภาพยนตร์ในงบประมาณที่เข้าถึงได้ The Founder Series: ซีรีส์ลำโพงเรือธงของ Paradigm ที่รวบรวมเทคโนโลยีและนวัตกรรมการออกแบบขั้นสูงสุด เพื่อมอบประสบการณ์เสียงที่สมจริงและดื่มด่ำที่สุด ด้วยความแม่นยำของเสียง เวทีเสียงที่กว้าง และไดนามิกที่น่าทึ่ง ออกแบบมาสำหรับนักฟังที่ต้องการความเป็นเลิศและระบบเสียงที่ไร้ที่ติ Defiance®: ลำโพงซีรีส์ที่เน้นความสมดุลระหว่างคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมและดีไซน์ที่ทันสมัย เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในระบบโฮมเธียเตอร์และสเตอริโอ ให้เสียงที่ทรงพลัง รายละเอียดดี และมีชีวิตชีวา และยังสามารถ Optimize ให้กลมกลืนกับการตกแต่งภายในของพื้นที่นั้นๆ ได้อย่างลงตัว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์จาก Paradigm และ Anthem ที่ครอบคลุมหลากหลาย Goldenduck มั่นใจว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยและตลาดภาพและเสียงได้อย่างครบครัน ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ทั่วถึง เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นนักเล่นโฮมเธียเตอร์ โฮมซิเนมา หรือแม้กระทั่งผู้ที่หลงใหลในคุณภาพเสียงระดับออดิโอไฟล์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ที่เหนือระดับได้เข้าถึงทุกการใช้ชีวิตครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว สำหรับผู้ที่สนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายสามารถติดต่อ Goldenduck ตามรายละเอียดด้านล่าง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: เยี่ยมชมเว็บไซต์: https://www.goldenduckgroup.com/pro/residential/ หรือโทร: 02-887-8807 #Goldenduck #PML #AnthemAudio #ParadigmSpeakers #HomeTheater #เครื่องเสียงไฮเอนด์ #โฮมเธียเตอร์ #BAV2025
HEGEL H400 อินทีเกรเต็ดสตรีมมิ่งไฮเอนด์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2025 ผลิตภัณฑ์จากนอรเวย์ แบรนด์ HEGEL ได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1988 ที่มหาวิทยาลัยเทคนิคในเมืองทรอนด์เฮม ประเทศนอร์เวย์ ปัจจุบัน HEGEL เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในตลาดเครื่องเสียงไฮไฟระดับสูง ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจำหน่าย ได้แก่ อินทีเกรเต็ดแอมป์ ปรีแอมป์ และเพาเวอร์แอมป์ รวมถึง DAC ที่ล้ำสมัยที่สุด โดยมีตัวแทนและผลิตภัณฑ์ของบริษัท HEGEL จำหน่ายทั่วโลก ได้รับรางวัลและบทวิจารณ์ที่ดีจากสื่อต่างๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเองอย่างมากมาย H400 เป็นอินทีเกรเต็ดแอมปลิไฟร์ที่มีภาคขยาย Class AB ซึ่งให้พลังงานล้นเหลือ 250 วัตต์ 8 โอห์ม และมีความสามารถขับโหลดที่เสถียรจนถึง 2 โอห์ม ด้วยความน่าทึ่งนี้ H400 จึงมีสมรรถนะในการควบคุมลําโพง ทั้งแม่นยําและค่าไดนามิกเร้นจ์อย่างสุดยอด ด้วยโครงสร้างโมโนบล็อกคู่บนแท่นเดียวกันของ H400 และวงจรเแบบสมมาตร ทําให้มั่นใจได้ถึงคุณภาพการแยกแยะทุกรายละเอียดเสียงที่เหนือกว่าแอมปลิไฟร์ธรรมดาทั่วๆ ไป ในขณะที่เทคโนโลยี SoundEngine 2 ของ HEGEL ให้การแก้ไขความผิดเพี้ยนได้อย่างฉับพลันทันทีระหว่างการขยายสัญญาณ ส่งผลให้ได้มาซึ่งเสียงที่เต็มไปด้วยละเอียดและฉับไว มอบทั้งพลังหนักแน่น รายละเอียดเสียงที่ละเมียดละไม และความเที่ยงตรงระดับมอนิเตอร์ในทุกความถี่เสียง การออกแบบ H400 ยังคำนึงถึงการประหยัดพลังงาน โดยใช้พลังงานน้อยที่สุด ในขณะที่ให้ประสิทธิภาพระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะตัวดังกล่าวนี้ และคุณสมบัติสแตนด์บายอัตโนมัติของเครื่องขยาย ช่วยลดความสิ้นเปลืองพลังงานได้เป็นอย่างดี คือเมื่อเราเปิดทิ้งไว้ แล้วเครื่องไม่ได้รับสัญญาณขยายเป็นระยะเวลาหนึ่ง ระบบก็จะกลับไปสู่โหมดStandby ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่กระทบต่อคุณภาพเสียง แม้จะเป็นแอมป์ที่มีภาพขยายพลังสูงมากถึง 250 วัตต์ ต่อช่องเสียง แต่วิศวกรผู้ออกแบบ คํานึงถึงความเรียบง่ายและการใช้งานที่ใช้งานที่สะดวก ดังนั้น H400 จะมีรูปทรง และด้านหน้าดิสเพลย์ที่เพรียวบางแต่แข็งแกร่ง พร้อมลูกบิดอเนกประสงค์สองปุ่มสําหรับการเลือกแหล่งโปรแกรม และการควบคุมระดับเสียง รวมถึงยังสามารถกดปุ่มเพื่อปิดเสียง หยุดชั่วคราว หรือนําทางเมนูอุปกรณ์ได้อีกด้วย จอแสดงผลดิสเพลย์กลางเครื่อง มีความชัดเจน และอ่านง่ายจากระยะไกล แสดงเฉพาะข้อมูลที่จําเป็นเท่านั้น เพื่อรักษารูปลักษณ์ที่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ความแปลกแตกต่างคือ มีสวิตช์ปุ่มเปิดปิดอยู่ใต้เครื่องขยายเสียงด้านหน้า เป็นดีไซน์ที่สุขุมรอบคอบ ออกแบบที่โดยคำนึงถึงการใช้งานจริงนี้ทําให้มั่นใจได้ว่าไม่มีอะไรมารบกวนความสวยงามของการตั้งค่าเสียงต่างๆ ขณะใช้งาน H400 นําเสนออินพุตแบบอนาล็อกและดิจิตอลอย่างครอบคลุม ทําให้มั่นใจได้ถึงความเข้ากันได้อย่างราบรื่นกับแหล่งเสียงต่างๆ พลังขยายที่เหนือชั้น ให้ทั้งรายละเอียด และการควบคุมที่น่าประทับใจ หมายความว่าคุณสามารถเชื่อมต่อลําโพงใดก็ได้ แม้แต่ลําโพงที่ขับยากมากๆ ด้วยการตรวจจับสัญญาณอัตโนมัติ H400 จะจดจําแหล่งสัญญาณเสียงดิจิตอลที่เชื่อมต่ออยู่ทันทีและเปลี่ยนเป็นอินพุตที่ถูกต้อง ทําให้ไม่จําเป็นต้องเลือกด้วยตนเอง อินพุตทั้งหมดสามารถตั้งค่าที่ระดับเสียงสูงคงที่ ทําให้สามารถใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์หลายห้องได้ ยังมีฟังก์ชั่นรีโมตทีวี ที่ให้คุณใช้รีโมตทีวีเพื่อควบคุมเครื่องขยายเสียงได้อีกต่างหาก มีผลต่อการตั้งค่าความบันเทิงในบ้านของคุณให้ใช้งานง่ายขึ้น ด้านเน็ตเวิร์ก H400 ได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อความคล่องตัว โดยรองรับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยอดนิยม เช่น AirPlay, Spotify Connect, Roon Ready, Tidal Connect, Google Cast และ UPnP ผู้ใช้สามารถควบคุมเครื่องขยายเสียงผ่านบริการเหล่านี้ได้โดยตรง นอกจากนี้ แอป Hegel Control ยังให้การควบคุมระดับเสียง อินพุต และการเข้าถึงวิทยุอินเทอร์เน็ต พอดคาสต์ รวมถึงเซิร์ฟเวอร์ด้านสื่อ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานโดยรวม ไม่ว่าคุณจะสตรีมเพลย์ลิสต์โปรดของคุณ หรือสํารวจพอดคาสต์ใหม่ H400 นั้นจะทําให้ง่ายและสนุก H400 รองรับเสียงหลายห้องผ่าน Roon, AirPlay และ Google Cast ทําให้สามารถเล่นเพลงแบบซิงโครไนซ์ในพื้นที่ต่างๆ ในบ้านได้อย่างคล่องตัว ลองนึกภาพการมีเสียงคุณภาพสูงแบบเดียวกันในทุกห้อง ที่หลอมรวมเข้ากับระบบบ้านอัจฉริยะได้อย่างราบรื่น ภาค DAC ในตัวเอง ระบบ Bit-Perfect DAC ที่ยึดพื้นฐานมาจากรุ่น H600 ที่ใช้ Bit-Perfect DAC เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด หลายคนอาจจะอยากทราบว่า ใช้ชิปเซ็ตพื้นฐานของอะไรมาขยายขอบเขตการทำงานในวงจร ซึ่งตามปกติภาค DAC ของ HEGEL จะใช้ของ AKM อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญของชิปสำเร็จรูป เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งของวงจรส่วนร่วมในการดีไซน์ทางภาคดิจิตอลอื่นๆ ที่สำคัญ รวมทั้งภาคจ่ายไฟอิสระ ที่ถูกออกแบบเฉพาะวงจรของ DAC อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ในชื่อ Bit-Perfect DAC ตัวเครื่องมาพร้อมรีโมตคอนโทรลขนาดย่อม พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานครบถ้วน HEGEL H400 ได้รับรางวัล เครื่องขยายเสียงสตรีมมิ่งพรีเมียม EISA 2024 - 2025 เป็นการันตี ที่มั่นใจได้ในความเชื่อมั่นผลิตภัณฑ์ในระดับสากล ผลการทดสอบใช้งาน หลักๆ แล้วผมจะเล่นเพลงสองรูปแบบด้วยกันคือ แผ่นซีดี และใช้ภาค DAC ในตัว H400 เนื่องจากระบบของเครื่องไม่มีภาคปรีโฟโนสำหรับแผ่นเสียง แต่สนองตอบภาคไลน์ อินพุต - ดิจิตอลอินพุต หลายช่องต่อ (ส่วนตัวผมจะใช้ช่องต่อ Coaxial) และการเชื่อมต่อ Ehernet LAN เพื่อการสตรีมมิ่ง ขอกล่าวถึงการใช้งานภาคสตรีมมิ่งก่อนนะครับ ผมเริ่มเล่นระบบเน็ตเวิร์กในเครื่อง HEGEL H400 โดยดาวน์โหลด แอปพลิเคชั่น Hegel Control จากแอพสโตร์มาใช้ในไอโฟน 15 Pro Max เพื่อเชื่อมระบบสั่งงานระบบปฏิบัติการของเครื่อง H400 แค่เปิดแอปในมือถือ ก็เชื่อมต่อกันกับตัวเครื่อง H400 อัตโนมัติฉับไว สนองตอบได้ดี เหมือนแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็ไม่มีอะไรให้ต้องรอ หรือเสียเวลาเซ็ตอัพใดๆ จริงอยู่ว่า จอดิสเพลย์ H400 ไม่มีการแสดงผล ปกอัลบั้มเพลงสวยๆ (ต้องดูจากหน้าจอมือถือ หรือ แท็บเล็ตแทน) แต่ก็มีผลด้านคุณภาพในการทำงานที่ต้องยอมรับ แบบว่าคุณภาพเนื้อๆ กันไปเลย ส่วนตัวผมชอบเลือกเล่นวิทยุอินเทอร์เน็ตก่อน เพราะท่องดนตรีทุกรูปแบบไปได้อย่างมีอิสระเสรีรอบโลกใบนี้ อย่างไร้ขีดจำกัด!!! ฟังข่าวสาร ฟังดนตรี เพลงหลากรสชาติแบบอิ่ม แน่น ละมุนละไม และโอ่อ่า ทรงพลังเลยทีเดียว และที่แน่ๆ ช่วงฟังเพลงที่จริงจังจะยืนพื้นที่การเชื่อมต่อ TIDAL ทำให้เราฟังเพลงที่ชอบเพลิดเพลินทั้งคุณภาพดุจเดียวกับซีดี หรือไฮเรสออดิโอ วิทยุอินเตอร์เน็ต ส่วนมากผมจะชื่นชอบสถานี BBC2 เป็นพิเศษ วันไหนไม่รีบร้อนอะไร ก็จะนั่งฟังแต่เช้ายันค่ำ มีเพลงดีๆ ให้ฟังมากมาย ในประสบการณ์เล่นแอมป์ Streaming ผมเริ่มจับทางบางประการได้ว่า หากเราค่อยๆ ไต่ระดับ เล่นเครื่องสตรีมเมอร์แอมป์มาเรื่อยๆ และพบเครื่องที่มีคุณภาพสูงจริงๆ แล้วละก็ คุณจะได้เห็นความแตกต่างของเครื่องสตรีมเมอร์ระดับไฮเอนด์ ที่มีระดับคุณภาพและราคาสูงกว่าเครื่องทั่วๆ ไปได้ไม่ยากครับ ความมีคุณภาพสูงของเครื่องตรงไหน จะแสดงออกให้เราจับสังเกตง่ายที่สุด? นั่นคือ การแยกแยะ และการแสดงบุคลิกแนวทางของเพลงต่างอัลบั้ม ต่างสตูดิโอที่บันทึกเสียงอันหลากหลายนั้น จะต้องมีรสชาติที่ต่างกันไปตามต้นทางหรือสตูดิโอที่มาครับ คือจะไม่ให้เสียงเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบว่าฟังเพลงสไตล์ไหน ค่ายใด บุคลิกเสียงก็เหมือนกันเสียทุกค่าย ทุกอัลบั้ม แหละนี่คือจุดชี้ว่า เราเล่นสตรีมมิ่งมาถึงระดับไหนครับ HEGEL H400 แม้จะมีราคาสูงเมื่อเปรียบเทียบแอมป์สตรีมมิ่งอื่นๆ อยู่บ้าง แต่เครื่องรุ่นนี้ ระดับนี้ จะนำพาคุณสัมผัสการเรียนรู้ธรรมชาติเสียงดนตรีอย่างชัดแจ้ง เข้าถึงความสมจริง ความแตกต่างในคาแรกเตอร์ ของการบันทึกเสียงเพลง จากแต่ละค่ายเพลง ได้เป็นอย่างดี นี่คงเป็นการพิสูจน์ว่า การได้รับรางวัล Best Product EISA AWARD 2024-2025 ย่อมมีคุณภาพครบถ้วนในมาตรฐานสูงสุดจริงๆ ในส่วนการใช้งานอินพุตจากภาคไลน์ ผมใช้เครื่องเล่น SACD ต่อใช้งานสลับกันระหว่างเสียงที่ได้จากแผ่น CD-SACD ทางช่องไลน์อินพุต และเลือกช่อง Coaxial เพื่อการทดสอบภาค DAC ของH400 เปรียบเทียบกันไปด้วยในตัว • ภาค DAC ของ H400 มีจุดเด่นที่ความปลอดโปร่ง ความสะอาดของเสียง สามารถสนองตอบ ดิจิตอลออดิโอได้ครบถ้วนมาก รวมถึงถอดรหัสของเพลงสตรีมมิ่ง อาทิ 24/192, DSD64 (DoP), เล่นแผ่น MQA หรือฟังสตรีมมิ่งจาก TIDAL จะเห็นผลด้านรายละเอียดเสียงที่ระยิบระยับในทุกรายละเอียด ส่วนทางช่องออพติคัลก็ให้การถอดรหัสเท่าเทียม Coaxial ครับ กรณีนำไฟล์เพลงไฮเรสจากสตอเรจฮาร์ดดิสก์ หรือNAS เพลงที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์มาต่อเล่นทาง USB จะตอบสนอง ไฟล์เพลงได้สูงถึง 32/384, DSD256 (DoP) เรียกว่าเก็บได้ทุกรายละเอียด ที่ทางHEGEL H400 มีรองรับครบเครื่องจริงๆ ดังที่กล่าวไว้เสมอว่า ตัวผมมักจะเล่นเพลงจาก TIDAL เป็นหลัก ในไฟล์ที่สตรีมจากผู้ให้บริการรายนี้ คิดว่ามันดีเยี่ยมพอเพียงกับความเป็น High-Fidelity โดยเฉพาะเมื่อฟังเพลงที่รายละเอียดระดับสูงสุด (MAX) รวมทั้ง MQA ทำให้เราเข้าถึงเบื้องลึกดนตรีไฮเรส ที่มีรายละเอียดมากกว่าฟังแผ่นซีดี ในหลายๆ อัลบั้ม ด้วยคุณสมบัติของเครื่อง HEGEL H400 นั้น สนองตอบได้อย่างดีงามและคุ้มค่าที่สุด คือถ้าเราดูจากคุณค่า ที่แยกออกเป็นสามองค์ประกอบหลัก จะเห็นภาพได้ชัดว่า H400 เป็นสตรีมมิ่งแอมป์ ที่เกินคำว่าคุ้มค่าจริงๆ - ภาคขยายดูอัลโมโน 250วัตต์ต่อแชนแนล ที่ขับลำโพงทุกคู่ได้อย่างหมดจด - ภาค DAC ที่เสียงสะอาดมากๆ จนแทบนึกไม่ออกว่าเคยฟัง DAC ในแอมป์รุ่นไหนที่จะให้เสียงได้ดีเยี่ยมขนาดนี้มาก่อน - ภาคเน็ตเวิร์กสตรีมมิ่งที่คล่องตัว แม่นยำ เสียงอิ่มเอม สนองตอบการใข้งานอย่างกว้างขวาง กระทั่งผมเองยังใช้งานได้ไม่หมดด้วยซ้ำ บทสรุป 1. เชื่อมต่อระบบเน็ตเวิร์กได้อย่างง่ายดาย ยอดเยี่ยม ไม่ต้องไปเสียเวลาเซ็ตอัพอะไรทั้งสิ้น ทำให้เราเข้าถึงวิทยุอินเทอร์เน็ตและพอดแคสต์ได้ทันที และผ่าน UPnP ไปยัง NAS ทั้งมีปุ่มสำหรับควบคุม Apple AirPlay และ Google Chromecast ปุ่ม "Spotify" จะนำเราไปที่หน้าจอข้อความพร้อมคำแนะนำในการเลือก H400 เป็นสัญญลักษณ์รูป "ลำโพง" ในแอป Spotify แล้วเปิดใช้งาน Spotify Connect รวมถึงเปิดการเชื่อมต่อแอป TIDAL ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ในฐานะสตรีมเมอร์นับว่า ทำงานได้เป็นเลิศ คุ้มค่าทุกวินาทีที่ใช้งาน ให้ความใกล้เคียงรุ่นใหญ่อย่าง H600 ในหลายส่วนเลยทีเดียว 2. ภาคขยายคลาส AB ที่มีเทคโนโลยี SoundEngine 2 ให้พลังและรายละเอียดที่เป็นเสียงธรรมชาติ และสามารถรับอัตราการพีคแรงๆ ของดนตรีได้อย่างไร้ความผิดเพี้ยน ผมชอบบุคลิกที่อิ่มละมุนและพร้อมจะส่งผ่านไดนามิคเร้นจ์ จากแผ่วเบาถึงอัตราสะวิงของเสียงที่สูงสุด อย่างแม่นยำ ในฐานะภาคขยาย จะให้ทุกรายละเอียดครบถ้วน แม้แต่ปลายเสียงแหลมสุด จนถึงช่วงเสียงต่ำลึก เอาเป็นว่า ถ้าลำโพงคุณดีพอ จะได้ยินเสียงเบสอย่างอิ่ม หนักแน่นมีคุณภาพครบถ้วนโดยไม่ต้องพึ่งพาซับวูฟเฟอร์ อีกทั้งเป็นภาคขยายที่มีแบนด์วิธกว้างมากๆ อย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว จากประสบการณ์ของผม ภาคขยาย HEGEL H400 อาจจะสมบูรณ์แบบกว่า ปรี-เพาเวอร์หลายชุดเลยครับ แค่ภาคขยายเสียงอันยอดเยี่ยม ก็ทำให้เราเข้าถึงเพลงทุกสไตล์ได้อย่างไม่มีขีดจำกัดนี้ ก็ถือว่าคุ้มราคาแล้วละครับ 3. ในการฟังทั้งสตรีมมิ่ง และจากช่องไลน์อินจากแผ่น CD-SACD ให้คุณภาพเสียงที่เต็มไปด้วยรายละเอียดความสมูทนิ่มนวลต่อเนื่อง ผมชอบตรงที่ว่า จะไม่มีขีดจำกัดในเรื่องของสไตล์เพลง ให้โทนเสียงช่วงมิดเร้นจ์ เสียงความถี่กลางมีเสน่ห์ ไหลลื่น ไม่ต้องถามว่าเหมาะสมที่จะฟังเพลงประเภทใดเพราะทุกสิ่งที่คุณอยากฟัง คุณจะได้ฟังเต็มอิ่ม คือเราสามารถฟังตั้งแต่ ไลท์มิวสิก คันทรี พ็อพ แจ๊ส ไปจนถึงคลาสสิก ให้เสียงที่เปิดกว้างแต่ก็สะอาดและนิ่มนวล เต็มไปด้วยรายละเอียดที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะเพลงร้องทำให้เราหลงใหลเสียงหวานๆ จากศิลปิน ใน HEGEL H400 อย่างง่ายดายเลยทีเดียว สำหรับการต่อแหล่งโปรแกรมภายนอก จุดที่เด่นอย่างมากก็คือการใช้ DAC ของ H400 เพราะรายละเอียดที่สมบูรณ์แบบของภาคแปลงรหัสดิจิตอล มาสู่อนาล็อก นับว่าทำได้ดีงาม ในทุกๆ รายละเอียดเสียง เป็นภาค DAC ที่ให้ฮาร์โมนิคเสียงอิ่มฉ่ำจริงๆ ครับ ตรงนี้เองที่ยิ่งทำให้ H400 เกินคำว่า “คุ้มค่า” อย่างมากที่สุด เป็นภาค DAC ที่ทำให้เราลืมความเป็นดิจิตอลหรืออนาล็อกไปได้เลย 4. คุณสมบัติด้านบุคลิกเสียง ศักยภาพเสียงเต็มไปด้วยรายละเอียด มีความเที่ยงตรง ละเมียดละไมสูงมาก ในทุกระดับความดัง สลับลำโพงมาทดลองใช้หลายคู่ ไม่มีคู่ไหนที่ HEGEL H400 จะขับไม่ออก ล้วนแต่สร้างความสมบูรณ์เต็มสเกลเสียงทั้งสิ้น เมื่อมองจากโครงสร้างภายนอก หน้าตาดูจืดๆ ที่มีแต่ความเรียบง่าย ไม่โดดเด่นสะดุดตานี้ ทว่าภายในกลับบรรจุวงจรแน่นเอี้ยด ด้วยคุณสมบัติที่ดีเลิศของ ภาคขยายดูอัลโมโน, DAC ตัวแปลงรหัสระดับไฮเอนด์, สตรีมเมอร์ที่มีปฏิบัติการครบถ้วนที่สุด เหมือนเครื่องเสียง ทรี-อิน-วัน ที่สรรสร้างเสียงดนตรีให้เราประทับใจในคุณภาพเสียงอย่างแท้จริง HEGEL H400 สมศักดิ์ศรีของสตรีมมิ่งแอมปลิไฟร์ รางวัล Best Product EISA AWARD 2024-2025 ที่คุณควรพิจารณาหาประสบการณ์ ก่อนตัดสินใจก้าวสู่สตรีมมิ่งแอมป์ ระดับไฮเอนด์ครับ HEGEL H400 มีราคาต่อเครื่องอยู่ที่ 229,000.- บาท สนใจสอบถามรายละเอียดและโปรโมชั่นได้ที่ DISCOVERY HIFI โทร. 085 517 8292
Furutech Origin Power NCF (R) สายไฟเอซีที่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพเสียงไปตลอดกาล สายไฟเอซี เป็นปฐมบทของการปรับปรุงเครื่องเสียงที่ถือว่า สมควรเปลี่ยนสำหรับเครื่องเสียงทุกประเภท ทั้งแหล่งโปรแกรม DAC หรือแอมปลิไฟร์ทั้งหลาย สายไฟระดับเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ ของFurutech จากประเทศญี่ปุ่น มีการพัฒนามาอย่างยาวนาน เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป Furutech มุ่งมั่นที่จะนำเสนออุปกรณ์เสียงคุณภาพสูงสุดในราคาที่เข้าถึงได้เสมอมา และซีรีส์ Origin ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ปรัชญานี้ สายไฟ Origin Power NCF (R) ประกอบด้วยตัวนำ α (Alpha) μ-OFC ของ Furutech ที่มั่นใจได้ถึงความสามารถในการนำไฟฟ้าและความบริสุทธิ์ของสัญญาณที่ดีเลิศ มอบประสบการณ์เสียงที่สมจริงและดื่มด่ำ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ตรงตามมาตรฐานที่เข้มงวดเพื่อนักเล่นเครื่องเสียงระดับออดิโอไฟล์ และวิศวกรเสียงมืออาชีพ ซีรีส์ Origin Furutech ได้กำหนดความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพระดับพรีเมียมและมูลค่าใหม่ ทำให้เสียงคุณภาพสูงสามารถเข้าถึงได้มากกว่าที่เคย โครงสร้างโดยรวมของสายไฟรุ่นนี้ ด้วยคุณลักษณะพิเศษจาก Pure Transmission และวัสดุ NCF ของ Furutech เทคโนโลยี Pure Transmission ของ Furutech ได้รับการออกแบบด้วยความเอาใจใส่พิถีพิถันในทุกแง่มุมของพลังงานและการถ่ายโอนสัญญาณ โดยแก้ไขปัญหาทั่วไป เกี่ยวกับความต้านทานการสัมผัส สถานะความเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า EMI และความสามารถในการป้องกัน RFI ด้วยวิศวกรรมที่เหมาะสมที่สุด โดยการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ดีที่สุดและกระบวนการขั้นสูง Furutech จึงมอบประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมได้อย่างสม่ำเสมอ การนำวัสดุ "NCF" อันล้ำสมัยของ Furutech มาใช้กับขั้วต่อเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม NCF ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อต่อต้านไฟฟ้าสถิต ช่วยลดการสั่นสะเทือนและขจัดเสียงรบกวนไฟฟ้าสถิตที่ไม่ต้องการ ผลลัพธ์ที่ได้คือเวทีเสียงที่สะอาดขึ้น แม่นยำขึ้น ปราศจากสีสัน ทำให้เสียงที่แท้จริงจากแหล่งกำเนิดเสียงเปล่งประกายออกมาอย่างน่าประทับใจ ในด้านรายละเอียดทางเทคนิคที่พิเศษกว่าใคร คุณสมบัติหลัก เป็นสายไฟที่ออกแบบมาอย่างสวยงามด้วยตัวนำ α (Alpha) μ-OFC ใช้ฉนวนโพลีเอทิลีนพิเศษที่ทนต่อแรงดันไฟฟ้าสูงและความร้อน ให้ความจุที่ต่ำกว่าและการหน่วงเชิงกลที่ดีกว่า มีเทคโนโลยี Ground/Earth Jumper ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร แม้ในระหว่างการใช้งานปกติทั่วไป สายเคเบิลทั่วไปก็ยังสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ต้องการขึ้นมาได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการรบกวนได้ โดยคลื่นดังกล่าวจะแสดงผลเด่นชัดที่สุดในบริเวณที่สายเคเบิลงอหรือพับ ดังนั้น "Earth Jumper" ของ Furutech แก้ไขปัญหานี้ด้วยการใช้แผ่นทองแดงที่สัมผัสกับสกรูยึด ต่อกับสายดิน ทำให้ศักย์แม่เหล็กไฟฟ้ามีเสถียรภาพ ในการดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ต้องการนี้ทำให้ระบบปรับปรุงคุณภาพเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการสั่นสะเทือนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่างมาก ส่งผลให้เสียงที่ได้มีความชัดเจนและเสถียรมากขึ้น มีกลไกการยึดสายแบบพิเศษเพื่อให้มีหน้าสัมผัสที่แน่นหนาและส่งกำลังได้อย่างบริสุทธิ์และเสถียร รวมถึงโครงสร้างของสายที่เป็นเอกลักษณ์ช่วยให้มีหน้าสัมผัสที่แน่นหนาที่สุดเท่าที่เคยมีมาในแวดวงสายไฟเอซี ปลอก PVC ปลอดตะกั่วที่ยืดหยุ่นเป็นพิเศษ 3 ชั้นที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS ***ช่วยแยกการสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น สายไฟ Furutech Origin Power NCF (R) หุ้มฉนวนด้วยโพลีเอทิลีน (PE) ซึ่งช่วยลดความต้านทานที่เกิดจากความจุ ส่งผลให้มีความละเอียดของเสียงที่มากขึ้น ชัดเจนขึ้น ไดนามิกที่ทรงพลัง และเวทีเสียงที่เงียบเป็นพิเศษ Preview นับตั้งแต่ได้รับมาวันแรก ผมก็มานั่งวิเคราะห์ดูรูปทรงที่ขึงขังงดงาม และซ่อนคุณสมบัติชั้นยอดภายใน ตั้งแต่หัวขั้ว และท้ายขั้วสัญญาณ ไปจนถึงฉนวนห่อหุ้ม ที่ให้สัมผัสละมุน สามารถจัดให้โค้งงอไปตามช่องว่างด้านหลังเครื่องและผนังได้เป็นอย่างดี เห็นเป็นสีขรึมๆ ขึงขัง แต่หาเจาะลึกองค์ประกอบภายใน จะพบว่าล้ำลึกมากกว่าที่เห็นมากมายนัก • ในชั้นของตัวนำ ภายในบรรจุวัสดุตัวนำ 7 มัดจำนวน 35 เส้นแบบ α (Alpha) μ- OFC 0.18 มม. x 3 แกน -9AWG (หรือมีขนาด 6.22 sq.mm) รวมกับฉนวน โพลีเอทิลีที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5.5 มม. • มีปลอกหุ้มหนึ่งชั้นด้านในเป็นพีวีซีป้องกันการสั่นสะเทือน ที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS โดยผสมผสานกับวัสดุ NCF พิเศษ และสารประกอบอนุภาคคาร์บอนเป็นวัสดุป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (สีดำ) ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 13.5 มม. • เฉพาะส่วนของ “ชีลด์ภายใน” ที่ห่อหุ้ม ก็จะมีตัวนำ α (Alpha) μ–OFC 9 x 24 เส้น 0.12 มม. ถักทอหุัมไว้และมีปลอกหุ้ม 2 ชั้น (ตรงกลาง) ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคคาร์บอนและพีวีซี สำหรับป้องกันการสั่นสะเทือนที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS (สีดำ) • ด้านเปลือกนอกสุด มีปลอกหุ้ม 3 ปลอก หุ้มด้านนอกด้วยพีวีซียืดหยุ่นที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS (สีน้ำเงินมุก) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 18.0 มม. รูปลักษณ์ภายนอก ยังหุัมด้วยเส้นด้ายไนลอนที่เป็นไปตามมาตรฐาน RoHS ถัก ปลอกนอก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 19.0 มม. เรียกว่าโครงสร้างอัดแน่นเทคโนโลยีเพียบเลยครับ สำหรับสายไฟเอซี ระดับไฮเอ็นด์ Furutech Origin Power NCF (R) ผลจากการทดสอบใช้งานเป็นอย่างไร ผมจะขอสรุปสั้นๆ เข้าใจง่าย ว่าสิ่งที่เราจะได้คือ • พลังอัดฉีดเสียงนั้นดีขึ้นอย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว • รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในระดับปลายเสียงที่ “หยุมหยิม ระยิบระยับ” เรียกว่าแทบไม่เคยได้ยิน ดีเทลแบบนี้จากสายไฟเอซี มาก่อนเลย • เสียงต่ำอิ่มขึ้น สมบูรณ์มากขึ้น มีการทอดยาวของเบส ให้ทั้งความกระชับ และหยุดสั่นค้างได้อย่างรวดเร็ว • ให้ความรู้สึกถึงเสียงที่เป็นธรรมชาติสมจริง ให้ความรู้สึกสะอาด แม่นยำขึ้น โดยเฉพาะช่วงมิดเร้นจ์ เสียงกลาง เสียงร้อง มีน้ำหนักยอดเยี่ยม โทนเสียงผ่อนคลาย • เวทีเสียงโอ่อ่า ความลึก-ตื้น หรือความกว้างของเวทีเสียงนั้น ให้มิติที่ดีเลิศเลยทีเดียวครับ Furutech Origin Power NCF (R) คือสายไฟเส้นเดียว ที่สามารถเปลี่ยนและยกระดับคุณภาพเสียงอย่างชัดแจ้ง แม้จะเปลี่ยนแทนสายไฟเดิมลงไปเพียงเส้นเดียว ที่เครื่องแหล่งโปรแกรม หรือที่แอมป์ขยายเสียง ก็เห็นผลของการอิมพรูฟ ในเครื่องเสียงทั้งชุด ที่คุณจะต้องเซอร์ไพรส์ในทันที จากผลการทดสอบ ถ้าจะต้องเลือกเปลี่ยน Origin Power NCF (R) กับจุดใดจุดหนึ่ง ขอแนะนำที่แหล่งโปรแกรมก่อนครับ มีผลลัพธ์อันชัดเจนที่สุด ผลลัพธ์ต่อแหล่งโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็น ซีดีเพลย์เยอร์ DAC หรือสตรีมเมอร์ มีผลมากจริงๆ หลังจากนั้นจะไปเปลี่ยนที่แอมปลิไฟร์ ในเส้นถัดไปก็ได้ครับ เนื่องจากสายรุ่นนี้ ราคาก็สูงตามคุณภาพไฮเอ็นด์ของเขานั่นละครับ กล่าวสรุปแบบสั้นๆ ได้ว่าสายไฟเอซี Origin Power NCF (R) จาก Furutech คือ ปรากฏการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งของวงการสายสัญญาณระดับออดิโอไฟล์ที่น่าตื่นเต้นประทับใจครับ Furutech Origin Power NCF (R) ราคา 83,000.- บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Clef Audio Co., Ltd. Tel: 0-2932-5981 หรือ LINE ID : @clefaudio
ASL INT-50L สุดทางเสียงดนตรีกับแอมป์คลาส A ผลงานของ Absolute Audio Labs. (ASL) เครื่องเสียงแบรนด์ไทยที่ออกแบบและผลิตแอมปลิไฟร์คลาส A ระดับยักษ์มาแล้วหลายปี ส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทแยกชิ้นปรี-เพาเวอร์ และครั้งนี้เป็นการดีไซน์อินทิเกรเต็ดแอมป์ ASL INT-50L ที่ไบอัสกระแสวงจรในแบบ คลาส A Push Pull มีกำลังขับ 50 วัตต์ต่อแชนแนล (ซึ่งจะไม่ใช่แบบ ซิงเกิ้ลเอ็นด์คลาส A) จุดเด่นคือจะให้กำลังที่สูงกว่าแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ ในขณะที่ใช้กำลังไฟเท่าๆ กัน ในแง่ของการดีไซน์ มีข้อดีตรงที่สามารถแปรผันกระแสที่ไหลผ่านลำโพงเมื่ออิมพีแดนซ์ต่ำลงไปอีก ได้ราวหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว! ระบบพุชพูลคลาสเอนั้น ถ้าออกแบบวงจรได้ดี จะสามารถปรับการทำงานของสัญญาณเสียงและเฟสให้สมมาตรกันได้ อันจะส่งผลต่อ ค่าความเพี้ยนทาง THD ต่ำลงไปได้เรื่อยๆ นั่นคือการขยายเสียงที่เที่ยงตรงแม่นยำ และต่อเนื่องอย่างแท้จริง จากข้อมูลของผู้ผลิต ระบบพุชพูล ASL INT-50L ได้ออกแบบโดยศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของนักเล่นเครื่องเสียง ที่เมื่อคุ้นชินกับระดับเสียงที่ฟังอยู่ในทุกๆ วัน ก็อยากขยับความดังขึ้นไปอีกเล็กน้อย โดยยังคงอยากได้รายละเอียดและบรรยากาศเดิมๆ อยู่ INT-50L จะวางระบบวงจรอยู่ชุดหนึ่ง ที่เรียกว่า QUAD OPTO BIAS ทำหน้าที่ควบคุมกระแสภายในวงจรด้วยระบบแสง ถึง 4 ชุด ช่วยตรวจจับการเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันของกระแสที่ไหลผ่านลำโพงในแต่ละเฟส แล้วนำปรับกระแสภายในวงจรให้เตรียมพร้อมที่จะขยายสัญญาณได้อย่างราบรื่นที่สุด โดยที่วงจร Class A มีพื้นฐานการไบอัสกระแส ป้อนไฟเลี้ยงให้อุปกรณ์ทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ราบรื่นต่อเนื่อง แตกต่างจากคลาสอื่น ที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงการสะวิงของสัญญาณ ก็จะทำให้เสียงจะขาดความต่อเนื่องและแผดกร้าวได้ INT-50L เป็นพุชพูล คลาสเอ ที่มีความเพี้ยนต่ำ ในช่วงการฟังปกติ 4-5 วัตต์แรก แต่เมื่อเร่งโวลลุ่มขึ้นมาจากเดิมอีกราวๆ 10% วงจร QUAD OPTO BIAS ก็จะทำการปรับเปลี่ยนการไหลของกระแส ให้มีคุณลักษณะของ ฮาร์มอนิกส์ ลำดับที่สองเด่นขึ้นมา จนถึงช่วงกึ่งหนึ่งของอัตราขยาย จึงกลับเข้ามาสู่โหมดความเพี้ยนต่ำอีกที ตรงนี้จะมีผลต่อคุณภาพเสียงที่ดีอย่างต่อเนื่อง INT-50L ยังทำงานแบบ CFA (Current Feedback Amplifier) ที่มีความแม่นยำในการจัดการเรื่องเฟสเสียง ไม่ให้เลื่อนค่าเฟสไปเมื่อต้องใช้งานกับลำโพงที่มีวงจรครอสโอเวอร์อันซับซ้อนอีกด้วย INT-50L ใช้อุปกรณ์ภายในที่ค่อนข้างพิเศษ เช่น เจเฟท และ มอส เฟ็ต จาก TOSHIBA และทรานซิสเตอร์จาก FAIRCHILDS ที่เป็นระดับหายากเป็นพิเศษไปแล้วในปัจจุบันนี้ และภาคเอาต์พุตยังใช้มอสเฟ็ต โมดูล ขนาดใหญ่กว่าอุปกรณ์ทั่วๆ ไป ถึง 4 เท่า!!! มีการคัดเลือกเกรดอุปกรณ์แต่ละชิ้นอย่างพิถีพิถัน โดยใช้เครื่องวัดกราฟการทำงานของอุปกรณ์ (curve tracer) ชนิดพิเศษ ที่จะมีข้อมูลของอุปกรณ์แต่ละตัว ที่มีคุณสมบัติตรงตามซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจำลองการทำงาน ไว้เป็นมาตรฐานการวัด จุดที่ผมคิดว่า มีผลดีต่อการใช้งานจริงมากที่สุด คือมีการออกแบบให้ระดับโวลุ่มแปรผันไปในลักษณะการใช้งานจริง โดยย่านการทำงานในช่วง 25 วัตต์แรก ตั้งแต่โวลลุ่ม 0 ถึง 30 จะค่อยๆ เพิ่มความดังในสเต็ป ละนิด ผู้ที่นิยมลำโพงยุควินเทจจึงสามารถนำมาใช้กับลำโพงฟูลเร้นจ์ หรือ ฮอร์น ความไวสูงระดับ 94-105dB ได้เป็นอย่างดี และเมื่อเข้าสู่ตำแหน่งโวลลุ่มที่ 31 ถึง 50 ก็จะทวีความดังขึ้นมาอีกครึ่งหนึ่ง เพื่อให้เหมาะสมกับลำโพงความปานกลาง 87-92dB และสุดท้ายระดับโวลลุ่มที่ 50 ถึง 75 ความไวของอัตราขยายก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากวงจรอัพกระแสสำรอง เพื่อให้เหมาะสมกับลำโพงยุคปัจจุบัน ที่มีความไวต่ำ 82-85dB จัดว่าออกแบบไปตามพฤติกรรมการใช้งานจริง ของออดิโอไฟล์ ทุกท่านจะสามารถสัมผัสได้จากการทำงานอย่างราบรื่นขณะใช้งานขยายในวงจร ตามข้อมูลของผู้ผลิต ในเทคนิคเชิงโครงสร้างนั้น ได้มีการให้รายละเอียดไว้ดังต่อไปนี้ 1. ขั้ว RCA อินพุตต่อตรง “ลัดสั้น” เข้าภาคควบคุมโวลลุ่ม และปรีแอมป์โดยตรง ลดทอนการสูญเสียสัญญาณ และสัญญาณรบกวนได้เป็นอย่างดี 2. ออกแบบการวางแผงวงจรแบบสมมาตร ทั้ง ซ้าย-ขวา รวมถึงเฟสบวก และลบของสัญญาณ 3. ใช้ตัวเก็บประจุขนาดรวม 120,000 ไมโครฟารัด ถือว่ามากที่สุดในอินทิเกรทแอมป์กำลังขับเท่าๆ กัน 4. ไดโอด เร็กติฟายเออร์ ใช้แบบตัวถัง SOT-227 ขนาด 80 แอมแปร์ ซึ่งจะพบเจอได้ในเพาเวอร์แอมป์ชั้นนำเท่านั้น 5. การจ่ายกระแสไฟให้อุปกรณ์มอสเฟ็ตเอาต์พุต ชนิดพิเศษ ใช้ระบบฮาร์ดวายริ่ง เพื่อการส่งผ่านกระแสไฟสูงสุด สามารถรองรับเอาต์พุต ขับโหลดได้ต่ำสุดถึง 2 โอห์ม 6. ตัวถังอลูมินั่มทั้งชิ้น ยึดด้วยน็อตอลูมินั่มรอบตัวถัง และใช้น็อตไทเทเนี่ยมชุบทองด้านหน้า 7. หน้าปัดแสดง ช่องสัญญาณอินพุต และตัวเลขโวลุ่มขนาดใหญ่ มองเห็นชัดเจน ซึ่งจะลดแสงลงเมื่อเราคอนโทรลเรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์มอสเฟ็ตเอาต์พุต ใช้ระบบฮาร์ดวายริ่ง เพื่อรองรับกระแสขนาดใหญ่ มีระบบ AC NOISE FILTER และ RECTIFIER DIODE ขนาดใหญ่ ที่มีระบบป้องกันกราวนด์ลูป (GROUND LOOP ELIMINATE) ในตัว ส่วนหม้อแปลงชนิดเทอรอยดัล ขนาดถึง 450VA ฮีทซิ้งค์ระบายความร้อนจัดวางตำแหน่งทั้งสองด้านซ้ายขวาของตัวถังดูขึงขังมาก Test Report การทดสอบของผมคือ อยู่ในแง่ของการใช้งานจริง โดยใช้เวลาถึงสองสัปดาห์เต็ม จึงมีบทสรุป ASL INT-50L แอมปลิไฟร์ระบบคลาส A ดังต่อไปนี้ 1. ตัวถังมีโครงสร้างบึกบึนแข็งแรง อาจกล่าวได้ว่า แอมป์ระดับราคานี้ แทบไม่พบคุณสมบัติเท่าเทียม ASL INT-50L ฮีทซิ้งค์มีรูปทรงที่ลงตัว ระบายความร้อนได้ดี โครงสร้างนี้มีผลต่อการป้องกันการรบกวนจาก Noise ได้ครบถ้วน และโดยรอบๆ ตัวถัง โครงสร้างเครื่องจะไม่มีส่วนมุมคมบาดมือ การเลเซอร์เจาะตราโลโก้ -รุ่น บนเพลทหน้าปัด ถือว่าผลงานมาตรฐาน ในเชิงโครงสร้างทำได้ประณีตมากเลยครับ 2. หน้าปัด ที่มีดิสเพลย์กลางเครื่องแม้ส่วนตัวผมคิดว่าไม่มีความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง เมื่อใช้งาน จะให้ความสะดวกในการแจ้งระดับความดังเป็นตัวเลขขนาดใหญ่ คอนโทรลได้จากปุ่มโวลุ่มและซีเลคเตอร์ หรือรีโมตคอนโทรล และในช่วง 2-3 วินาที ไฟที่สว่างนัันก็จะลดแสง หรือ “ดิม” ลงไป ไม่ให้เป็นจุดสะดุดต่อสายตาแต่อย่างใด 3. บุคลิกเสียงติดมาทางหวานฉ่ำละมุนที่ปลายเสียงจะคล้ายเสียงเครื่องหลอดมากครับ และให้พลังที่หนักแน่นตั้งแต่แรกเปิดเครื่องไปจนถึงชั่วโมงสุดท้ายที่คุณเปิดใช้งาน ต้องชมเชยว่า น่าประทับใจตรงเป็นแอมป์คลาส A ที่กำลังดีไม่มีตกเลยจริงๆ ไม่ว่าจะขับที่ความดังแผ่วเบา หรือใช้อัตราสะวิงที่ความดังสูงๆ ก็ตาม 4. ในแง่อัตราสะวิง ให้ค่าไดนามิคดีมาก เปรียบเทียบแอมป์คลาส A ด้วยกัน ถือว่าโดดเด่นมาก และด้วยกำลังขับขนาด 50 วัตต์ คลาส A ของ INT-50L นี้ เทียบกับแอมป์คลาสอื่นๆ จะเหมือนเรากำลังรับฟังแอมป์ขนาด 150 วัตต์ ที่ผมเคยใช้งานเลยละครับ เสียงที่มีความโดดเด่นเรื่องการให้รายละเอียด จากความดังระดับต่ำๆ ไปจนถึงระดับความดังสูง ทำได้อย่างมีสัดส่วนดนตรีอันสวยงาม และเสียงโอ่อ่าเปิดเผยเป็นพิเศษ 5. การไดรฟ์ลำโพงซึ่งใช้วงจรครอสโอเวอร์ ที่มีความต้านทานสลับซับซ้อนอย่าง BBC LS3/5A, LS 5/9 หรือ Harbeth P3 ESR Monitor 30.2 รวมถึง Totem One ที่ว่า ขับยากๆ เหล่านี้ ผมทดลองทั้งหมดแล้ว พบว่าแอมป์ ASL INT 50-L “จัดเต็ม” ได้อย่างสบายมาก ทั้งที่ตัวเลขเร่งโวลุ่มไม่เกิน 30 เท่านั้น จึงมั่นใจความสามารถได้อย่างเต็มที่ 6. เป็นแอมป์ที่มีบุคลิกเสียงที่อิ่มฉ่ำ พลังลึกเร้นดี ขับย่านความถี่ลำโพงออกมาครบถ้วน ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ เสียงแบบนี้ต้องบอกว่าเกินความคาดหมายของผมไปมากครับ นับเป็นผลงานการออกแบบแอมปลิไฟร์ คลาส A ที่น่าประทับใจ เสียงดีเยี่ยมแบบนี้ อาจจะต้องแลกกับความร้อนที่ระบายออกมาทางฮีทซิ้งค์ ที่แผ่ไปจนถึงหลังเครื่อง และหน้าปัดอีกเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาเพราะผมเล่นแอมป์หลอด และแอมป์คลาส A มาตลอดอยู่แล้ว (คือถ้าแอมป์คลาส A ไม่ร้อนนี่ต่างหากที่ผมจะงง) 7. ในแง่ของการดีไซน์ ASL INT-50Lเป็นแอมป์ที่พิถีพิถันในการออกแบบ และได้ผลลัพธ์ที่ดี นี่คืออินทิเกรเต็ดที่สามารถสนองตอบการฟังเพลงได้ทุกสไตล์โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่ได้แค่เพียงให้รายละเอียดได้ครบถ้วน เสียงหวานละมุนเท่านั้น แต่ยังคงไว้ซึ่งพละกำลังซ่อนเร้นอยู่อย่างมากมายเหลือพอ ที่จะแสดงศักยภาพออกมาอย่างครบถ้วนเมื่อคุณได้ฟังจริง จากเพลงพ็อพ แจ๊ส ไปจนถึงคลาสสิก วงออเคสตร้าขนาดใหญ่ ทุกสไตล์ที่คุณได้ฟังจะมาพร้อมกับความแม่นยำเที่ยงตรงของเสียงดนตรี ให้เวทีเสียงที่มีความโอ่อ่า มีความเป็นธรรมชาติสูง และเสียงดนตรีที่ไหลราบรื่นต่อเนื่องสวยงามประดุจสายน้ำ กล่าวได้ว่าสุดปลายทางเสียงดนตรีนั้น ASL INT-50L จะช่วยให้คุณไปถึงทุกจินตนาการได้ในทุกๆ รายละเอียดอย่างแน่นอน ASL INT-50L ราคา 97,500.- บาทต่อเครื่อง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Absolute Audio Labs คุณบอย โทร. 083-121-4445 หรือทดลองฟังได้ที่ Hifi House กรุงเทพ คุณศราวุฒิ 091-718-8716 โทร/ไลน์
KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ผสานความลงตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน โจทย์ที่ว่า ถ้ามีลำโพงสองทางขนาดเล็กหรือขนาดกลาง แล้วต้องการอัพคุณภาพมากยิ่งขึ้น สมควรเปลี่ยนเป็นลำโพงตั้งพื้นหรือเสริมแอคทีฟซับวูฟเฟอร์? นี่ก็คือคำตอบที่น่าสนใจ ถ้าคุณยังต้องการให้ลำโพงวางขาตั้งหลัก แบบ Bookshelf แต่เดิมนั้น คงสถานะไว้ ไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับตัวอย่างการจัดเซ็ตครั้งนี้ ลำโพงหลักของผมคือ KEF LS50 Meta ในแง่การออกแบบจัดว่าล้ำสมัยที่สุดคู่หนึ่ง ลำโพงรุ่น LS50 Meta ได้พัฒนามาหลายเวอร์ชั่น และล่าสุดก็คือ LS50 Meta เป็นลำโพงที่เน้นย้ำเรื่องความแม่นยำสูงและให้คุณภาพเสียงด้วยบุคลิกดึงดูดอารมณ์ ซึ่งสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีอะคูสติก ระดับ “ปฏิวัติวงการ” ลำโพงขนาดกะทัดรัด ที่แข็งแรงทนทานรุ่นนี้ ได้รับการออกแบบโดยใช้ไดรเวอร์อาร์เรย์ Uni-Q เวอร์ชั่น 12 ที่มีเทคโนโลยีการดูดซับ Metamaterial ที่ควบคุมโครงสร้างอันซับซ้อนมากคล้ายเขาวงกตที่สามารถดูดซับเสียงที่ไม่ต้องการจากด้านหลังของไดรเวอร์ได้ 99% เป็นเทคนิคช่วยขจัดความบิดเบือนที่เกิดขึ้นและให้เสียงที่บริสุทธิ์เป็นธรรมชาติมากขึ้น ดังนั้น Uni-Q รุ่นที่ 12 พร้อม MAT ได้ทำงานร่วมกันภายใต้โครงสร้างที่ยอดเยี่ยม ในท่ามกลางความบิดเบือนที่น้อยลงที่สุดในระบบลำโพง และสนองตอบเสียงที่โปร่งใสสมจริงมากกว่าที่เคยเป็น เท่าที่ได้ทดสอบใช้งาน จุดเด่นลำโพงคู่นี้ คือความมีพลังในการกระจายเสียงได้สม่ำเสมอทั่วทั้งห้องได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งที่มีขนาดย่อมๆ เท่านั้น ไดรเวอร์ Uni-Q ที่ประกอบอยู่บนพื้นผิวโค้งมนของแบบเฟิลหน้า ช่วยแผ่เสียงออกไปโดยไม่มีการรบกวนจากขอบแข็งซึ่งทำให้เกิดการ ”เลี้ยวเบน“ หรือ Diffraction ของเสียง ผลลัพธ์ที่ได้คือเสียงที่สะอาดและแม่นยำ ไม่ใช่แค่ลำโพงที่ใช้งานได้ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นประติมากรรมที่สร้างความมีชีวิตชีวาให้กับชีวิตของผู้ฟังอีกด้วย ปัจจุบัน LS50 Meta มีตัวเลือกสีให้ถึง 4 สี ได้แก่ Carbon Black, Titanium Grey, Mineral White และ Royal Blue Special Edition LS50 Meta ได้รับการออกแบบโดย Simon Davies และ KEF Industrial Design Team ซึ่งมีแง่มุมทางด้านเทคนิคหลายอย่างที่น่าสนใจ หากมีโอกาส ผมจะนำเอาแนวคิดและวิธีการออกแบบของ Simon Davies มาให้ได้อ่านกันในเร็วๆ นี้ครับ มีผู้รักลำโพง KEF LS 50 สอบถามเข้ามาบ่อยครั้งว่า พวกเขายังคงพึงพอใจในน้ำเสียง LS50 Meta แต่หากจะขยับเป็นลำโพงตั้งพื้นของ KEF ก็ออกจะเสียดายคุณสมบัติเสียงเดิมๆ ของลำโพงคู่โปรด ที่กลางแหลม และมิดเบสสวยงามมากๆ ทางเลือกที่ทำให้ลำโพง มีความทรงพลังโอ่อาแม่นยำและย่านความถี่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ใกล้เคียงกับลำโพงตั้งพื้น แต่ไม่อยากเปลี่ยนเป็นลำโพง Floor Standing ทำอย่างไรดี? คำตอบที่ผมได้มาคือ ให้เสริม KEF KC 62 เข้าไป 1-2 ตู้ละก็ คุณก็จะเห็นความแตกต่างที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน และเท่าที่ผมนำมาจัดชุดทดสอบให้ฟังใน Live เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ชมจะเห็นว่า KEF LS50 Meta และ KC62 ได้ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่รู้สึกเลยว่า Active Sub-Woofer เป็นส่วนเกินในระบบ แต่กลับเสียงดีขึ้น และความสวยงามของตัวตู้ขนาดลูกเต๋า ก็เป็นที่ติดตาต้องใจยิ่งนัก แม้ว่าปัจจุบันจะมีการให้ความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างกว้างขวางในเรื่องของการเสริม Sub-Woofer เข้าไปในระบบ ทุกสิ่งอย่างที่เป็นระบบเครื่องเสียงนั้น เราต้องยอมรับว่ามีหลายวิธีทางที่เราจะไปสู่จุดหมายของเราได้ ส่วนได้ ส่วนเสีย ส่วนผิด หรือส่วนถูก ขึ้นอยู่กับเรานำเอา Sub-Woofer มาใช้ด้วยเหตุผลใด และปรับให้สมดุลได้อย่างไร นั่นเอง ซึ่งผมเคยได้อธิบายและแสดงเหตุผลเอาไว้หลายสิบประการแล้ว คงไม่จำเป็นต้องย้อนกลับมาพูดถึงอีก ประโยชน์ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้ว่า ใช้เป็น หรือไม่เป็น เข้าใจอรรถประโยชน์ที่พึงได้หรือไม่เพียงไร สำหรับ KEF LS50 Meta และ KC62 ที่ผมได้ทดลอง Matching ใช้งานด้วยกันมาแล้ว ส่วนตัวคิดว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เมื่อไม่อยากก้าวกระโดดขึ้นไปเล่นลำโพงตั้งพื้น อาจจะด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ห้อง หรือเหตุผลอื่นๆ KEF KC62 เป็นคำตอบที่น่าสนใจจาก ซัพวูฟเฟอร์จิ๋วที่น่าอัศจรรย์ ตู้นี้ แนวทางการออกแบบซับวูฟเฟอร์ KC62 ของ KEF คือ เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้พลังเสียงเบสที่หนักแน่นสมจริงเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นเดียวกัน KC62 เป็นซับวูฟเฟอร์ขนาดกะทัดรัดเหลือเชื่อ สามารถมอบพลังและความมหัศจรรย์ของเสียงเบสที่ทุ้มลึกและแม่นยำ เพื่อประสบการณ์การฟังเพลง หรือชมภาพยนตร์ และเล่นเกมที่เต็มอิ่มและน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จุดเด่นคือ KC62 มีขนาดเท่าลูกฟุตบอล สร้างขึ้นโดยใช้วิศวกรรมชั้นยอดของ KEF ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยี Uni-Core ที่ล้ำสมัย ใช้ตัวไดรเวอร์ขนาด 6.5 นิ้ว จำนวน 2 หน่วย ทำงานคล้ายลูกสูบช่วงชักยาวให้การผลักอากาศได้ปริมาณมหาศาล ใช้การขับเคลื่อนด้วยแอมปลิไฟร์กำลังขับ 1,000W RMS Class D ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อขับความถี่ต่ำ นี่คือการจับคู่ระหว่าง ลำโพง Book Shelf ขนาดย่อม กับ Active Sub-Woofer ขนาดจิ๋ว แบรนด์เดียวกัน ซึ่งออกแบบมาบนพื้นฐานเดียวกันด้วยครับ • ผลลัพธ์ที่ได้จากภาคปฏิบัติ KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ทดสอบจริงในห้องฟังขนาด 3.5x4.5 เมตร การปรับถือว่าง่ายมาก เพราะมี EQ หรืออีควอไลเซชั่นด้วย DSP อัตโนมัติถึง 5 ตำแหน่ง (Room, Wall, Corner, Cabinet, Apartment) ให้เราเลือกโหมดไปตามจุดตำแหน่งที่วางในสภาพแวดล้อมของห้องก่อน แล้วปรับระดับความดัง ความถี่จุดตัด และเฟสตามมา ข้อแนะนำ ควรหาจุดตั้ง KEF KC62 ในแนวระนาบเดียวกับ LS50 Meta ซึ่งเป็นจุดดีที่สุด หรือจะเป็น เสมอด้านหน้า หรือถอยหลังลึกกว่าลำโพงหลักก็ได้ ไม่ควรให้ตู้ซับ KEF KC62 วางล้ำหน้า หรือถอยหลังมากเกินไป ควรอยู่ห่าง LS50 Meta ในระยะไม่เกิน 1 ฟุต หรือใกล้กว่า เพราะจะปรับได้กลมกลืนง่ายขึ้น ให้ปรับค่าจุดตัดต่ำสุดของซับวูฟเฟอร์ ปรับระดับความดัง Level ทีละเล็กละน้อยแล้วค่อยๆ ขยับขึ้นมา ในจุดที่เสียงเชื่อมต่อกันราบรื่นที่สุด สำหรับในการทดสอบของผม ที่ได้ผลดีที่สุดคือ ให้ตั้งค่าความถี่จุดตัดของ KC62 ไว้ที่ประมาณ 45Hz เพราะนั่นคือจุดที่เบสของ LS50 Meta เส้นเคิร์ฟจะเริ่มลาดลงมา ถ้าถามว่า จุดที่ 45 Hz ของ KC62 อยู่ตรงไหน ก็ให้ดูที่ปุ่มปรับ Crossover ของ KC62 ซึ่งจะอยู่กึ่งกลางระหว่าง 40 และ 50Hz ครับ อันที่จริงเราสามารถยกจุดตัดความถี่ให้สูงขึ้นได้ ประมาณ 100Hz แต่การทำงานร่วมกับ LS50 Meta อาจจะไม่ได้ผลดีและกลมกลืน ได้เท่ากับจุดตัด 45-50Hz นี้ วิธีฟังคือ การปรับให้เบสและเสียงต่ำต้องไม่โด่งขึ้นมากเกินจริง ยึด Tonal Balance เป็นหลัก ในการหาจุดสมดุล – ใช้วิธีปรับด้วยการหาจุด 2 จุดคือ จุดที่ทำให้เราได้ยินเสียงต่ำชัดเจนที่สุด (อาจจะล้นๆ นิดนึงก็ได้) จากนั้นปรับให้ได้ยินเสียงซับวูฟเฟอร์เบาที่สุด หรือแทบไม่ได้ยินเลย หลังจากนั้นให้หาจุดกึ่งกลาง ระหว่างสองจุดตำแหน่งนี้ โดยอ้างอิงจากเพลงหรืออัลบั้มที่คุ้นเคยและมีย่านความถี่ค่อนข้างครบ ไม่ใช่แค่นำแผ่นหรือใช้เพลงที่เน้นเสียงกลอง หรือเสียงต่ำตูมตามมาปรับ เป็นหลักนะครับ สรุป จุดที่ดีมากๆ ของ LS50 Meta และ KC62 คือแนวทางการออกแบบนั้นเป็นแบรนด์เดียวกัน การปรับจึงกลมกลืนกันง่าย และใช้เวลาไม่นาน คุณจะปรับเป็นลำโพงซิสเต็มเดียวกันได้อย่างลงตัว • หมายเหตุ ทั้ง KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ควรถูกเบิร์น เกิน 80-120 ชั่วโมงแล้ว จะให้ผลอย่างเต็มที่ครับ บทสรุป จากการใช้ KEF KC62 ร่วมกับ KEF LS50 Meta 1. ให้เวทีเสียงด้านกว้างลึกดีขึ้น 2. เครื่องดนตรีเสียงต่ำชิ้นหลัก อย่างดับเบิ้ลเบส กลอง มีมวล และพละกำลังเต็มอิ่มขึ้นอย่างน่าพึงพอใจมาก เรียกว่าสร้างความชัดเจนมีสัดส่วนของดนตรีเพิ่มขึ้น 3. น้ำหนักเสียงของชิ้นดนตรี มีมิติเป็นชิ้นเป็นอัน ให้สเกลเสียงสมจริง 4. มีผลด้านเสียงร้องที่อิ่มลึกขึ้น เสียงลงลำคอจะดูเป็นจริงมากกว่าเดิม 5. อิมเมจ จุดตำแหน่งเสียง ให้ความมีสัดส่วน ทรวดทรงดนตรี ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม 6. ช่วยให้เสียงต่ำทอดยาว มีน้ำหนัก มีผลดีกับเพลงแจ๊ส ร็อค และคลาสสิก จำพวกวงออเคสตร้า 7. มวลรวมของการฟังดนตรีที่มีจำนวนชิ้นมากๆ อย่างเพลงจากวงออเคสตร้า มีไดเมนชั่นเสมือนเสียงสามมิติเพิ่มขึ้น รูปวงขยายเต็มอัตราส่วน นี่คือการรวมระบบลำโพง KEF LS50 Meta และ KEF KC62 ที่เสมือนหยิบลำโพงทรงลูกเต๋ามาผสมผสานกัน ทั้งลำโพงหลักและซับวูฟเฟอร์ ด้วยการส่งพลังเสียงโดดเด่น โอ่อ่าเทียบเคียงลำโพงตั้งพื้นระดับแสนได้อย่างสบายๆ และอาจจะมีข้อดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ ไม่เปลืองพื้นที่ห้องฟัง นั่นเอง KEF LS50 Meta ราคาคู่ละ 49,900.- บาท KEF KC62 ราคาตู้ละ 69,900.- บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทดลองฟังได้ที่ ร้านจำหน่ายเครื่องเสียงชั้นนำทั่วไป หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 9/7 ซ. รัชดาภิเษก 18 ถ. รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทร 02-692-5216 https://www.vgadz.com/kef/ https://www.facebook.com/KEFaudiothailand
JBL SUMMIT SERIES ลำโพง JBL รุ่น SUMMIT MAKALU ลำโพงตั้งพื้นระดับอ้างอิงรุ่นท็อปสุดในซีรีย์ ดีไซน์ลำโพง 3 ทาง ใช้ไดร์เวอร์ 12 นิ้ว (300 มิลลิเมตร) ในชื่อ SUMMIT MAKALU เป็นลำโพงรุ่นเรือธงในซีรีส์ SUMMIT ที่ถูกออกแบบและผลิตเพื่อตอบสนองนักฟังผู้รักและหลงใหลในทุกมิติของเสียงดนตรี มาคาลู (MAKALU) เป็นชื่อของยอดเขาที่สูงเป็นลำดับที่ 5 ของโลก และอยู่ห่างจากยอดเขาเอเวอเรสต์ 19 กิโลเมตร ด้วยรูปทรงที่สวยงามเช่น พีระมิด เป็นเป้าหมายสำคัญที่ท้าทายสำหรับนักไต่เขาจากทั่วโลก JBL จึงเลือกนำมาเป็นชื่อของลำโพงเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเปิดตัวในงานมิวนิกไฮเอนด์ 2025 SUMMIT MAKALU เป็นลำโพง 3 ทาง ตั้งพื้นขนาดใหญ่ มีเบสไดรเวอร์ขับเสียงต่ำขนาด 12 นิ้ว ใช้มิดเรนจ์ขนาด 8 นิ้ว ทำงานร่วมกับไดรเวอร์ขับเสียงแหลมขนาด 3 นิ้ว อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ JBL พร้อมกรวยฮอร์นขนาดใหญ่ ไดรเวอร์นี้คือ D2830K dual-diaphragm และ dual-motor compression ส่วนที่เป็นไดรเวอร์หลักของ SUMMIT MAKALU คือ ไดรเวอร์มิดเบส โครงโลหะหล่อขนาด 8 นิ้ว และวูฟเฟอร์เบส โครงโลหะหล่อขนาด 12 นิ้ว ความพิเศษของไดรเวอร์คู่นี้คือ การใช้กรวยไดรเวอร์ 3 เลเยอร์ Hybrid Carbon Cellulose Composite Cone (HC4) งานดีไซน์ล้ำยุคที่ใช้แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ และเยื่อกระดาษพิเศษประกบกัน โดยมีแกนกลางเป็น closed-cell foam กรวยไฮบริดนี้ถูกออกแบบเพื่อให้ได้กรวยไดรเวอร์ที่แข็งแกร่ง น้ำหนักเบาตามสเปค และเป็นปัจจัยหลักในการขับเสียงได้เต็มกำลัง โดยมีความผิดเพี้ยนน้อยที่สุด อุปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่งในการแบ่งแยกสัญญาณความถี่ไปยังไดรเวอร์แต่ละตัวใน SUMMIT MAKALU คือ ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก MultiCap™ ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบ single-wire และ bi-amp/bi-wire ในวงจรที่กล่าวมาของ JBL เลือกใช้คาปาซิเตอร์ขนาดเล็กจำนวนมากแทนการใช้คาปาซิเตอร์ขนาดใหญ่แบบเดิมๆ ผลที่ได้คือ สามารถลดค่า ESR (Electrostatic Resistance) และทำให้ไดรเวอร์ทำงานด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น งานออกแบบทั้งหมดนี้ทำให้ไดรเวอร์แต่ละตัวได้รับสัญญาณความถี่ครบถ้วน ขับขานพลังเสียงได้เต็มกำลัง เพิ่มได้นามิคของเสียง ให้เสียงดนตรีใสกระจ่างโดยไม่มีความผิดเพี้ยน JBL มิได้มุ่งเน้นเฉพาะการออกแบบไดรเวอร์และชิ้นส่วนครอสโอเวอร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ ตู้ลำโพงก็ผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถันและผลิตด้วยงานวิศวกรรมชั้นยอดเพื่อผลทางอคูสติกที่ดีที่สุด ภายในตัวตู้มีการเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่ง ผนังตู้ด้านในมีส่วนโค้งเว้า และบุด้วยวัสดุซับเสียงเพื่อลดการสั่นค้างของคลื่นความถี่ในตัวตู้ ตู้ลำโพงสวยงามระดับงานผีมือ มีให้เลือกทั้งแบบสีดำเปียโนเงาวับ พร้อมสัญลักษณ์ยอดเขาสีแพลตตินัม และแบบสีน้ำตาลไม้ Ebony ทำสีเงาวับ ประดับสัญลักษณ์ยอดเขา (Summit) สีทอง ตู้ลำโพง SUMMIT MAKALU วางอยู่บนฐาน IsoAcoustic® ซึ่ง JBL ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อแยกความสั่นสะเทือนอันอาจเกิดขณะไดรเวอร์ขับพลังเสียง เพื่อให้ตู้ลำโพงวางอย่างมั่นคงบนพื้นห้อง ผลที่ได้ก็คือ เสียงเบสที่กระชับทุ้มลึก ให้เวทีเสียงที่กว้างสมจริง และแจกแจงตำแหน่งของเครื่องดนตรีอย่างใสกระจ่าง แม่นยำ เหมือนการฟังดนตรีแสดงสด ลำโพง JBL รุ่น SUMMIT PUMORI ลำโพง SUMMIT PUMORI เป็นลำโพงตั้งพื้นระดับอ้างอิง ถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองนักฟังดนตรีผู้หลงใหลในเสียงดนตรีอย่างจริงจัง สำหรับลำโพงในกลุ่มที่ใช้ไดรเวอร์ขนาด 10 นิ้ว (250 มิลลิเมตร) ก็ต้องถือว่า SUMMIT PUMORI เป็นลำโพงรุ่นเรือธงในซีรีส์นี้ ซึ่ง JBL ภูมิใจนำเสนอ การเลือกชื่อ พูโมริ (Pumori) มาเป็นชื่อลำโพงเรือธงรุ่นนี้ก็เพราะ พูโมริเป็นยอดเขาที่สูงถึง 7,161 เมตร อยู่ใกล้กับยอดเขาเอเวอเรสต์ จนได้รับการขนานนามว่า “บุตรสาวของเอเวอเรสต์” และเป็นยอดเขาที่นักไต่เขานิยมมาฝึกซ้อมความชำนาญและความมั่นใจ ก่อนการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ SUMMIT PUMORI ติดตั้งด้วยไดรเวอร์แบบ dual-diaphragm และ dual-motor compression รุ่น D2815K ขนาด 1.5 นิ้ว อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ JBL โดยทำงานร่วมกับ Horn ขนาดใหญ่ Sonoglass® High-Definition Imaging (HDI™) เพื่อถ่ายทอดเสียงความถี่สูง ส่วนไดรเวอร์หลักของ SUMMIT PUMORI คือ มิดเบสโครงโลหะหล่อขนาด 8 นิ้ว และ วูฟเฟอร์โครงโลหะหล่อขนาด 10 นิ้ว ไดรเวอร์ทั้งสองตัวนี้เลือกใช้กรวยไดอะแฟรมแบบ triple-layer ซึ่งเป็น Hybrid Carbon Cellulose Composite Cone (HC4) เป็นงานออกแบบล้ำยุค ใช้แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ และเยื่อกระดาษพิเศษประกบกัน โดยมีแกนกลางเป็น closed-cell foam กรวยแบบไฮบริดนี้ ถูกออกแบบคิดค้นเพื่อให้ได้กรวยไดรเวอร์ที่มีความแข็งแกร่ง แต่น้ำหนักเบา และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลำโพงขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง โดยมีค่าความผิดเพี้ยนต่ำที่สุด อุปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่ง สำหรับแบ่งแยกความถี่แต่ละช่องไปยังไดรเวอร์ในลำโพง SUMMIT PUMORI คือ ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก MultiCap™ ซึ่งรองรับการใช้งานทั้งแบบ single-wire และ bi-amp/bi-wire ในวงจรที่กล่าวมา JBL เลือกใช้คาปาซิเตอร์ขนาดเล็กจำนวนมาก แทนการใช้คาปาซิเตอร์ขนาดใหญ่จำนวนน้อยแบบเดิมๆ ผลที่ได้คือ สามารถลดค่า ESR (Electrostatic Resistance) และทำให้ไดรเวอร์ทุกตัวทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงขึ้น งานออกแบบทั้งหมดนี้ช่วยให้ไดรเวอร์แต่ละตัวได้รับสัญญาณความถี่ที่ครบถ้วน สามารถขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง เพิ่มไดนามิคของเสียง ให้เสียงดนตรีที่ใสกระจ่างคมชัด โดยไม่มีความผิดเพี้ยน ตัวตู้สวยหรูงามสง่า เพราะ JBL มิได้มุ่งเน้นเฉพาะการออกแบบไดรเวอร์และระบบครอสโอเวอร์ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ แต่ก็ยังออกแบบตู้ลำโพงอย่างพิถีพิถัน และผลิตด้วยงานวิศวกรรมอันสุดยอด เพื่อผลทางอคูสติกที่ดีที่สุด ภายในตัวตู้มีการเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่ง ผนังตู้ด้านในมีส่วนโค้งเว้า และบุด้วยวัสดุซับเสียง เพื่อลดการสั่นค้างของคลื่นความถี่ในตัวตู้ ตู้ลำโพงทำสีสวยงามระดับงานฝีมือ มีให้เลือกทั้งแบบตู้สีดำเปียโนเงาวับ พร้อมสัญลักษณ์ยอดเขาสีแพลตตินัม และแบบตู้สีน้ำตาลไม้ Ebony ทำสีเงางามประดับสัญลักษณ์ยอดเขา (Summit) สีทอง ตู้ลำโพง SUMMIT PUMORI วางตัวอยู่บนฐาน IsoAcoustic® ซึ่ง JBL ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อแยกความสั่นสะเทือนอันอาจเกิดขึ้นขณะไดรเวอร์ขับพลังเสียง เพื่อให้ตู้ลำโพงวางตัวอย่างมั่นคงบนพื้นที่รองรับ ผลที่ได้คือเสียงเบสที่กระชับทุ้มลึก ให้เวทีเสียงที่กว้างสมจริง และแจกแจงตำแหน่งของเครื่องดนตรีอย่างแจ่มชัด เหมือนการฟังดนตรีแสดงสด ลำโพง JBL รุ่น SUMMIT AMA ลำโพง SUMMIT AMA เป็นลำโพง Bookshelf ประเภทสองทาง คุณภาพระดับอ้างอิง ผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองนักฟังผู้หลงใหลในเสียงดนตรีอย่างแท้จริง สำหรับลำโพงในซีรีส์ซัมมิทที่ใช้ไดรเวอร์ขนาด 8 นิ้ว (200 มิลลิเมตร) ก็ต้องถือว่า SUMMIT AMA เป็นลำโพงรุ่นเรือธงที่ JBL ภูมิใจนำเสนอ ชื่อ อามา (Ama) มาจากยอดเขาชื่อว่า Ama Dablam แปลว่า “สร้อยคอของแม่” ยอดเขาอามามีความสูง 6,812 เมตร อยู่ด้านตะวันออกของเอเวอเรสต์เบสแคมป์ รูปทรงของยอดเขานี้โดดเด่นมีเอกลักษณ์ จึงถูกนำมาเป็นชื่อรุ่นของลำโพงขนาดวางหิ้งคุณภาพสูงเยี่ยมของ JBL SUMMIT AMA ถูกติดตั้งด้วยไดรเวอร์แบบ dual-diaphragm และ dual-motor compression รุ่น D2815K ขนาด 1.5 นิ้ว อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ JBL โดยจับคู่ทำงานกับ Horn ขนาดใหญ่ Sonoglass® High-Definition Imaging (HDI™) เพื่อขับขานเสียงในย่านความถี่สูง ส่วนไดรเวอร์หลักของ SUMMIT AMA คือ ไดรเวอร์โครงโลหะหล่อขนาด 8 นิ้ว (200 มิลลิเมตร) ไดรเวอร์นี้ถูกออกแบบให้ใช้กรวยไดอะแฟรมแบบ triple-layer ซึ่งเป็น Hybrid Carbon Cellulose Composite Cone (HC4) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ใช้แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์และเยื่อกระดาษชนิดพิเศษ ประกบเข้าด้วยกัน โดยมีแกนกลางเป็น closed-cell foam กรวยแบบไฮบริดนี้ ถูกออกแบบคิดค้นเพื่อให้ได้กรวยไดรเวอร์ที่มีความแข็งแกร่ง แต่น้ำหนักเบา และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลำโพงขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง โดยมีค่าความผิดเพี้ยนต่ำที่สุด อุปกรณ์ที่มีความสำคัญยิ่ง สำหรับแบ่งแยกความถี่แต่ละช่องไปยังไดรเวอร์ในลำโพง SUMMIT AMA คือ ครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ก MultiCap™ ซึ่งรองรับการใช้งานทั้งแบบ single-wire และ bi-amp/bi-wire ในวงจรที่กล่าวมา JBL เลือกใช้คาปาซิเตอร์ขนาดเล็กจำนวนมาก แทนการใช้คาปาซิเตอร์ขนาดใหญ่จำนวนน้อยแบบเดิมๆ ผลที่ได้คือ สามารถลดค่า ESR (Electrostatic Resistance) และทำให้ไดรเวอร์ทุกตัวทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงขึ้น งานออกแบบทั้งหมดนี้ช่วยให้ไดรเวอร์แต่ละตัวได้รับสัญญาณความถี่ที่ครบถ้วน สามารถขับพลังเสียงได้เต็มกำลัง ช่วยเพิ่มไดนามิคของเสียง ให้เสียงดนตรีที่ใสกระจ่างคมชัด โดยปราศจากความผิดเพี้ยน ตัวตู้งานประณีตสง่างามระดับไฮเอ้นด์ เพราะ JBL มิได้มุ่งเน้นเฉพาะการออกแบบไดรเวอร์และระบบครอสโอเวอร์ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ แต่ก็ยังออกแบบตู้ลำโพงอย่างพิถีพิถัน และผลิตด้วยงานวิศวกรรมอันสุดยอด เพื่อผลทางอคูสติกที่ดีที่สุด ภายในตัวตู้มีการเสริมโครงสร้างให้แข็งแกร่ง ผนังตู้ด้านในมีส่วนโค้งเว้า และบุด้วยวัสดุซับเสียง เพื่อลดการสั่นค้างของคลื่นความถี่ในตัวตู้ ตู้ลำโพงทำสีสวยงามระดับงานฝีมือ มีให้เลือกทั้งแบบตู้สีดำเปียโนเงาวับ พร้อมสัญลักษณ์ยอดเขาสีแพลตตินัม และแบบตู้สีน้ำตาลไม้ Ebony ทำสีเงางามประดับสัญลักษณ์ยอดเขา (Summit) สีทอง ตู้ลำโพง SUMMIT AMA วางตัวอยู่บนฐาน IsoAcoustic® ซึ่ง JBL ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อแยกความสั่นสะเทือนอันอาจเกิดขึ้นขณะไดรเวอร์ขับพลังเสียง เพื่อให้ตู้ลำโพงวางตัวอย่างมั่นคงบนพื้นที่รองรับ ผลที่ได้คือเสียงเบสที่กระชับทุ้มลึก ให้เวทีเสียงที่กว้างสมจริง และแจกแจงตำแหน่งของเครื่องดนตรีอย่างแจ่มชัด เหมือนการฟังดนตรีแสดงสด สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับลำโพง JBL Summit Series เพิ่มเติมได้ที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด โทร : 02-256-0020
Mark Levinson 600 Series ปรีแอมปลิไฟเออร์ Mark levinson No 626 เปิดตัวอย่างหรูหราและสวยสง่า ด้วยปรัชญาการออกแบบ Tectonic และไฟหน้าจอสีแดงอันเป็นเสมือนลายเซ็นของ Mark Levinson งานดีไซน์ล้ำอนาคต ซึ่งยังคงยึดถือแนวทางรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่สร้างสมชื่อเสียงมานาน โดดเด่นด้วยความงามของไฟและความหรูเงางามของกระจกหน้าจอ ไม่เพียงความสวยงามของตัวเครื่องภายนอก แต่ทุกระบบภายในถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน วงจรอนาล็อคแบบ Pure Path และวงจรดิจิตอลที่ออกแบบให้เป็นอิสระ เพื่อให้เสียงดนตรีอันบริสุทธิ์ในทุกรายละเอียด เพื่อมอบประสบการณ์ในการฟังอันรื่นรมย์อย่างที่สุด โดยเฉพาะภาคดิจิตอลออดิโอที่ใช้อุปกรณ์ DAC รุ่น Precision Link III ซึ่งรองรับดิจิตอลอินพุตถึง 6 ชุด สามารถลดเสียงรบกวนและให้คุณภาพเสียงจากสัญญาณดิจิตอล ด้วยรายละเอียดสูงถึง 32-bit / 384kHz โดยมีอนาล็อคอินพุตแบบ Balanced และ Single-ended Mark levinson No 626 เป็นปรีแอมปลิไฟเออร์แบบ dual-monaural ซึ่งผสมผสานทั้งประสิทธิภาพระดับสุดยอดของอนาล็อคออดิโอ กับวงจรดิจิตอลออดิโออันล้ำยุค เพื่อรังสรรค์เสียงดนตรีที่สมจริงอย่างที่สุดจากแหล่งโปรแกรมของคุณ หัวใจหลักของ No 626 คือ การออกแบบผังวงจรอันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะ นั่นคือการออกแบบ dual-monaural ซึ่งแยก signal path อย่างเป็นอิสระ พร้อมปุ่มปรับระดับเสียงแบบ R-2R ladder volume control เพื่อความแม่นยำในการเพิ่ม-ลด ระดับเสียง โดยยังคงประสิทธิภาพของเสียงในทุกย่านความถี่ ในส่วนของภาคไลน์เสตจอินพุตประกอบด้วย Signal switching relays ซึ่งแยกเป็นอิสระ สำหรับอนาล็อคสเตริโออินพุตแต่ละชุด นั่นคือแบบ Balanced XLR 2 ชุด และแบบ RCA 3 ชุด และยังมี Phono อินพุต ทั้งแบบ MM และ MC ชุดอนาล็อคสวิชต์ที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้สัญญาณที่มี band width กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ยิ่งกว่านั้นทั้งวงจรสำหรับเพาเวอร์ซัพพลาย และวงจรสำหรับแหล่งโปรแกรมดิจิตอลยังถูกป้องกัน (Shielded) จากวงจรอนาล็อคและวงจรภาคโฟโน เพื่อให้ได้สัญญาณออดิโอที่มีคุณภาพสุดยอดอย่างแท้จริง Mark levinson No 626 สามารถต่อเชื่อมกับอุปกรณ์อื่นในระบบเสียงได้โดยง่าย เห็นได้จากจำนวนช่องอนาล็อคเอาต์พุต จึงสามารถใช้งานแบบฟลูเรนจ์ หรือผู้ใช้จะเลือกเป็นฟิลเตอร์ fourth order ที่ 80Hz เพื่อต่อใช้งานร่วมกับเพาเวอร์ซับวูฟเฟอร์ก็ทำได้เช่นกัน ปรีแอมป์ No 626 ยังเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ Mark levinson เลือกใช้อุปกรณ์แปลงสัญญาณ D/A Converter ตัวใหม่ คือ Precision Link III สำหรับดิจิตอลอินพุตทุกชุด หัวใจของอุปกรณ์นี้คือ ES9039PRO ชุด DAC แบบ 8-channel Hyperstream IV เสริมด้วยวงจรขจัด Jitter อันเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ Mark levinson บวกกับวงจร I/V แบบแยกอิสระอันเป็นเสาหลักของภาคประมวลผลดิจิตอล มีดิจิตอลอินพุต 6 ชุด ประกอบด้วย AES/EBU 1 ชุด, โคแอคเชียล 2 ชุด, ออปติคอล 2 ชุด และมีช่องเสียบแบบ USB-C 1 ช่อง เพื่อรับสัญญาณรายละเอียดสูงจาก DSD และ PCM ได้สูงถึงระดับ 32-bit / 384kHz ตัวเครื่องของปรีแอมป์ No 626 ถูกออกแบบในระบบผังแบบโมดูลาร์ เพื่อแยกภาคอนาล็อคและวงจรดิจิตอลให้เป็นอิสระจากส่วนเพาเวอร์ซัพพลาย Mark levinson ยังออกแบบการ Damp vibration และชุดฐานรองใต้เครื่องให้เครื่องมั่นคง และปลอดจากการสั่นสะเทือนของพื่นที่วางเครื่อง ตัวเครื่องด้านนอกขึ้นรูปด้วยอลูมิเนียมอโนไดซ์สีดำ เรียบหรูด้วยปุ่มกลมสีเงิน จอกระจกด้านหน้าแสดงผลด้วยไฟเรืองแสงสีแดงเมื่อเปิดใช้งาน ทุกชิ้นส่วนของปรีแอมป์ No 626 ถูกออกแบบและผลิตในสหรัฐอเมริกา และมีรีโมทคอนโทรลที่สามารถสั่งงานได้ทุกฟังก์ชั่น ให้มาพร้อมตัวเครื่อง (หมายเหตุ : Tectonic Industrial Design ที่ Mark levinson ใช้เป็นหลักในการออกแบบผลิตภัณฑ์ คือศาสตร์การออกแบบที่แสดงถึงสัจจะของวัสดุและโครงสร้าง ซึ่งจะบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงการใช้งานวัสดุตามคุณสมบัติและแบ่งแยกการใช้งานตามฟังก์ชั่นที่เป็นจริง) เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์รุ่นเรือธง Mark levinson No 631 Mark levinson No 631 ถือว่าเป็นเรือธงในบรรดาแอมปลิไฟเออร์ซีรีส์ 600 ถูกออกแบบให้เป็นระบบวงจร Fully differential และแยกภาคขยายอย่างเป็นอิสระ เป็นแอมปลิไฟเออร์ Monaural ระดับไฮเอนด์ ที่มีกำลังมหาศาลในการขับลำโพงคู่ใดก็ได้ ด้วยไดนามิคที่ยอดเยี่ยม และให้ทุกๆ รายละเอียดของเสียงดนตรีสมบูรณ์แบบอย่างไม่น่าเชื่อ ถูกออกแบบและผลิตตามปรัชญา Pure Path circuit design จึงถ่ายทอดเสียงดนตรี ที่ให้เวทีเสียงทั้งลึกทั้งกว้าง แจกแจงมิติของเครื่องดนตรีแม่นยำชัดเจนจนน่าตื่นตะลึง อุปกรณ์ภายในทุกชิ้นถูกจัดวางอย่างสมดุล โครงสร้างถูกแยกส่วนโดยเฉพาะสำหรับทรานสฟอร์เมอร์แบบวงแหวน (Toroidal) ชนิด Ultra-low-noise ช่วยลดเสียงรบกวนต่อวงจรส่วนอื่นๆ อย่างได้ผล แอมปลิไฟเออร์ No 631 จึงอัดฉีดพลังให้กับลำโพง เพื่อขับขานเสียงดนตรีด้วยคุณภาพสุดยอด ชนิดที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเพราะวงจรภาคขยายถูกออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงเยี่ยม จึงแทบไม่ต้องการ feedback ในการให้เสียงดนตรีที่ปราศจากความผิดเพี้ยน และให้ bandwidth กว้างมาก ด้วยความสามารถในการอัดฉีดกระแสปริมาณมหาศาล แอมป์ No 631 จึงให้เสียงดนตรีได้อย่างสม่ำเสมอ ด้วย bandwidth ที่กว้างขวางครอบคลุม แอมปลิไฟเออร์นี้จึงให้พลังขับเหลือเฟือสำหรับลำโพงทุกคู่ ให้เสียงที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่ไร้การรบกวนของคลื่นไฟฟ้า ให้รายละเอียดครบทุกย่านความถี่ เปิดโปร่งและนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะรับฟังเสียงวงออเคสตราที่บรรเลงเต็มที่ หรือจะเป็นเสียงแผ่วเบาจากเครื่องดนตรีน้อยชิ้น การวางผังชิ้นส่วนภายในเครื่องแอมป์ No 631 เป็นสถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ เพื่อแยกวงจรในส่วนอนาล็อคออกจากภาคเพาเวอร์ซัพพลาย โดยวางชิ้นส่วนสำคัญบนแท่นยางเฉพาะ Mark levinson เลือกใช้ระบบดูดซับความสั่นสะเทือนสำหรับฐานของตัวเครื่อง โดยออกแบบฐานรองที่มั่นคงและเป็นอิสระจากพื้นที่รองรับ เพื่อป้องกันการสั่นไหวที่อาจรบกวนการทำงาน รูปลักษณ์ภายนอกของแอมป์ No 631 ดีไซน์สง่าแบบทาวเวอร์ทรงสูง และได้ถูกออกแบบตามหลัก Tectonic โดยตัวเครื่องขึ้นรูปจากแผ่นอลูมิเนียม ชุปอโนไดซ์สีดำ วางตัวอย่างมั่นคงบนฐานสีเงินซิลเวอร์ ส่วนกลางด้านหน้าดูแวววาวด้วยวัสดุกระจก เดินขอบด้วนเส้นไปสีแดง เพื่อขับเน้นความงามของแผงหน้า แผงด้านบนเป็นแผ่นกระจก ดูเด่นด้วนเส้นไฟสีแดง พื้นที่ส่วนที่เหลือเป็นส่วนระบายความร้อน คือแผง heat sink เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการลดอุณหภูมิขณะใช้งาน ความโดดเด่นของแอมปลิไฟเออร์ No 631 - ออกแบบตามหลัก Tectonic Industrial Design ตกแต่งด้วยเส้นไฟสีแดง เอกลักษณ์ของ Mark levinson - ออกแบบวงจร Pure Path ทั้งแผงวงจรอนาล็อค และดิจิตอล - เป็นแอมปลิไฟเออร์แบบคลาส A / AB และสามารถเลือกโหมด High-Bias - มีอนาล็อคอินพุตแบบ Balanced และ Single-ended - ขั้วต่อลำโพงแบบ Hurricane Binding Post จำนวน 2 ชุด - เพาเวอร์ซัพพลายแบบ Toroidal Linear Ultra-low-noise - ทุกชิ้นส่วนถูกออกแบบและผลิตในสหรัฐอเมริกา เพาเวอร์แอมปลิไฟเออร์ Mark levinson No 632 No 632 เป็นแอมปลิไฟเออร์ที่ถูกออกแบบตามหลัก Tectonic Industrial Design แสดงภาพลักษณ์ของการใช้วัสดุแต่ละประเภทอย่างเหมาะสมและลงตัว ภายใต้ตัวเครื่องที่ดูหนาหนักบึกบึน ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์โดดเด่นของผลิตภัณฑ์รุ่นต่างๆ ที่เคยสร้างชื่อเสียงมายาวนาน รูปทรงสวยงามด้วนเส้นสายของไฟที่ออกแบบใหม่ และดูแวววาวเรียบหรูด้วยวัสดุกระจก Mark levinson No 632 เป็นออดิโอแอมปลิไฟเออร์ dual-monaural ที่แยกภาคขยายอย่างเป็นอิสระอยู่บนแท่นเดียวกัน มีกำลังขับมหาศาลในการขับลำโพงด้วยไดนามิคที่ยอดเยี่ยม และแจกแจงทุกรายละเอียดของเสียงดนตรี ถูกออกแบบและผลิตตามปรัชญา Pure Path Circuit Design จึงสามารถขับขานเสียงดนตรีที่ให้เวทีเสียงทั้งลึกทั้งกว้าง มีมิติของเครื่องดนตรีที่แม่นยำชัดเจน น่าตื่นตะลึง อุปกรณ์ภายในทุกชิ้นถูกวางผังอย่างสมดุล มีการแยกโครงสร้างเฉพาะสำหรับทรานสฟอร์เมอร์ ทอรอยดัล (Toroidal) ชนิด Ultra-low-noise ลดเสียงรบกวนต่อวงจรอื่นๆ อย่างได้ผล แอมป์ No 632 จึงอัดฉีดพลังให้ลำโพง ให้เสียงดนตรีด้วยคุณภาพสุดยอดชนิดที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเพราะวงจรภาคขยายถูกออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพสูงเยี่ยม จึงใช้วงจร Feedback น้อยมากในการให้เสียงดนตรีที่ปราศจากความผิดเพี้ยน และให้ Band width กว้างมากอย่างไม่น่าเชื่อ ความยึดมั่นในหลักการออกแบบภาคขยาย เป็นข้อโดดเด่นที่สร้างสมชื่อเสียงให้กับ Mark levinson มานานแสนนาน แอมป์ No 632 จึงสามารถให้พลังขับมหาศาลสำหรับลำโพงทุกคู่ โดยให้เสียงสะอาดบริสุทธิ์ ไร้การรบกวนของคลื่นไฟฟ้า ให้รายละเอียดครบถ้วนทุกย่านความถี่ ไม่ว่าจะรับฟังเสียงจากวงออเคสตราที่บรรเลงเต็มที่ หรือเสียงแผ่วเบาจากเครื่องดนตรีน้อยชิ้น รูปลักษณ์ภายนอกของ No 632 ออกแบบตามหลัก Tectonic ตัวเครื่องขึ้นรูปจากแผ่นอลูมิเนียมชุปอโนไดซ์สีดำ วางตัวเครื่องมั่นคงบนฐานสีเงินซิลเวอร์ ด้านหน้าแวววาวด้วยวัสดุกระจก เดินขอบด้วยเส้นไฟสีแดง แผงด้านบนเป็นวัสดุกระจก ขับเน้นด้วยไฟสีแดง พื้นที่นอกนั้นเป็นส่วนระบายความร้อนด้วยแผง Heat sink ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดอุณหภูมิขณะเปิดใช้งาน ความโดดเด่นของแอมปลิไฟเออร์ No 632 - ออกแบบตามหลัก Tectonic Industrial Design ตกแต่งด้วยเส้นไฟสีแดง เอกลักษณ์ของ Mark levinson - ออกแบบวงจร Pure Path ทั้งแผงวงจรอนาล็อค และดิจิตอล - เป็นแอมปลิไฟเออร์แบบคลาส A / AB - เชื่อมต่ออนาล็อคอินพุตแบบ Balanced และ Single-ended - ขั้วต่อลำโพงแบบ Hurricane Binding Post จำนวน 2 ชุด - เพาเวอร์ซัพพลายแบบ Toroidal Linear Ultra-low-noise - ทุกชิ้นส่วนออกแบบและผลิตในสหรัฐอเมริกา สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับ Mark Levinson 600 Series เพิ่มเติมได้ที่ บริษัท มหาจักรดีเวลอปเมนท์ จำกัด โทร : 02-256-0020
The Light of Audiophile ตอนที่ 5 หลักพิจารณาการเล่นเครื่องเสียงสเตอริโอแบบเสริมความถี่ต่ำ ก็คงยังเป็นข้อถกเถียงอยู่หลายหลากมุมมองในประสบการณ์ของนักเล่นเครื่องเสียงระดับออดิโอไฟล์ว่า ระบบสเตอริโอโฟนิค ที่ดีไซน์ระบบให้มีลำโพงสองคู่ซ้ายขวานั้นพอเพียงสำหรับการฟังหรือไม่ และที่มีการเสริมลำโพงตู้ Sub-Woofer มันจำเป็นจริงหรือเปล่า - ทำให้ดีขึ้น? หรือทำให้แย่ลง? บทความจากประสบการณ์ล้วนๆ ของผมชิ้นนี้ ไม่มีเจตนาแบบ “เห็นด้วยอย่างมาก” หรือ “ไม่เห็นด้วยอย่างมาก” ทั้งสองแนวความคิดนะครับ หากท่านได้ติดตามงานเขียนบทความเครื่องเสียงของผมมายาวนานพอสมควรแล้ว ก็จะทราบว่า ผมยึดทางสายกลางเหมือนในแนวคิดทางพุทธศาสนาคือ มัชฌิมาปฏิปทา เมื่อเรามาแยกแยะ รายละเอียดเหตุผลกัน จะเห็นได้ทั้งจุดเริ่มต้น และจุดหมายปลายทางได้ว่า จะเดินทางสายใด ในความคิดส่วนตัวของผมก็คือ ระบบเครื่องเสียงที่ดี ควรสนองตอบความถี่จากเสียงดนตรีให้ครบถ้วน “เท่าที่จะเป็นไปได้” คือความหมายของ High Fidelity ในความเป็นจริง ถ้ายึดเอามาตรฐานการแสดงสด จากวงออเคสตร้า ที่มีความถี่เสียง น้ำหนักเสียง ความเข้มของเสียง ไดนามิคเร้นจ์ การตอบสนองความถี่ เวทีเสียง อิมเมจจุดตำแหน่งเสียงของชิ้นดนตรีเหล่านี้ จากขั้นตอน Recording ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนแรก คือ Sound Engineer ในห้องบันทึกเสียงที่เขาต้องพยายามทำให้ขั้นตอนของการบันทึกเสียงนั้น ต้องเก็บทุกรายละเอียดมาให้ได้สมบูรณ์แบบที่สุด ในขั้นตอน Playback เมื่อเรานำเพลงที่บันทึกมาจากสตูดิโอมาฟังกับเครื่องเสียงภายในบ้าน จะต้องคิดคำนึงก่อนว่า Scale เสกลเสียงที่ถูกย่อส่วนลงมานั้น มี “อัตราสัดส่วนสมจริง” การตอบสนองความถี่ แหลม กลาง ทุ้ม จะต้องย่อลงมาแบบมีอัตราส่วนที่ “สอดคล้องความเป็นจริง” เพราะไม่มีเครื่องเสียงชุดไหนที่สามารถให้ย่านความถี่ รายละเอียดเสียง เวทีเสียง ความเป็นชิ้นดนตรีต่างๆ เหมือนการแสดงสด เหมือนดนตรีคอนเสิร์ตได้ด้วยลำโพงเพียงคู่เดียว! คิดง่ายๆ ถ้าเวทีแสดงดนตรีกว้าง 15 เมตร ลึก 7 เมตร ถามว่า มีชุดลำโพงชุดใดในระบบโฮมยูส เสนอเวทีเสียงได้กว้างถึง 15 เมตรลึก 7 เมตร บ้าง? ดังนั้น เราจึงต้องคิดถึงสเกล สัดส่วนดนตรีที่ย่อลงมาฟังในห้อง ที่ลำโพงของเรา วางห่างกันประมาณ 2-3 เมตร โดยทั่วไป มันน่าจะอยู่ที่ประมาณไหน ซึ่งอาจจะแค่ 1/3 หรือ 1/5 ของการย่อส่วนลงมาในห้องฟัง ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว ถ้าเข้าใจตรง Scale สัดส่วนดนตรีตรงนี้แล้ว เราก็จะเข้าใจว่า เครื่องเสียงที่เราฟังทุกวันนี้ก็คือการ ”ย่อส่วน“ ดนตรีจริงมาฟังในบ้านนั่นเอง ถ้าเรายึดเรื่องสเกลของเสียงเป็นหลัก เราก็คงจะพอทราบว่าชิ้นดนตรีต่างๆ นั้น ควรจะมีปริมาณของเสียงขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นแหลม กลาง ทุ้ม เช่นเสียงของไวโอลิน เสียงของเปียโน เสียงของดับเบิ้ลเบส เสียงของทิมปานี เมื่อถูกย่อส่วนมาในบ้านแล้ว สเกลและสัดส่วนมันมีบาลานซ์ หรือความพอดีอยู่ที่ตรงไหน ถ้าเสียงชิ้นดนตรี ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ผิดสเกลสัดส่วนน้อยไปหรือมากไป ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีทั้งสิ้น อย่างเช่นลำโพงวางบนขาตั้งคู่หนึ่งให้เสียงกลางแหลมได้ดี แต่เสียงต่ำด้านลึกของชิ้นดนตรีนั้นขาดหายไปตรงนี้ ถ้าเราจะทำให้สมจริงตามสเกลสัดส่วนมากขึ้นก็คือเล่นลำโพงที่ใหญ่ขึ้น เป็นระบบตั้งพื้น หรือรุ่น Top ที่การออกแบบนั้น สามารถผลักดันสเกลของดนตรีให้ได้สมบูรณ์แบบ หรืออีกวิธีการหนึ่งก็คือการเสริม Sub-Woofer ลงไปในระบบ ในฐานะคนฟัง ถ้าทุกอย่างรู้สึกได้ว่าสเกลเสียงดนตรี มันพอดี สมส่วนอยู่แล้ว คุณจะเปลี่ยนลำโพงใหญ่ขึ้นหรือคุณจะเสริม Sub-Woofer ลงไปเพื่อให้มีเสียงต่ำมากขึ้นเพื่อสิ่งใด? เพราะมันจะทำให้สเกลสัดส่วนต่างๆ ของดนตรีก็ผิดไปหมด ตามหลักการที่ถูกต้องอะไรที่มันพอดีอยู่แล้วก็ควรพอเพียงอยู่ตรงนั้น แต่ถ้ารู้สึกว่ามันขาด ก็เพิ่มเข้าไป หรือถ้าเกิน ก็ลดมันลงมา นี่ก็เป็นหลักการธรรมชาติพื้นๆ โดยทั่วไปอยู่แล้วนะครับ ผมจึงไม่ได้ปฏิเสธหลักการใดๆ ทั้งสิ้นในการเล่นเครื่องเสียง และถ้าเราจะเสริมอะไร ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในระบบอย่างใด เราควรรู้การตอบสนองความถี่ของชิ้นดนตรีด้วย สมมุติว่า ตอนนี้ความถี่ต่ำในซิสเต็ม ของเราน้อยไป ทำให้อาจจะขาดเสียงของเครื่องดนตรีบางอย่างได้ เรามาดูกันว่า ถ้าจะเสริม Active Sub-Woofer ชุดเครื่องเสียงเราจะครอบคลุมชิ้นดนตรีใดบ้าง? จากประสบการณ์ ในการทำระบบ Professional และ Home Use ความถี่ต่ำที่มีจุดตัดตั้งแต่ 250Hz ลงไปจนถึง 20Hz หรือต่ำกว่า ผมถือว่าเป็นย่านความถี่ครอบคลุมการทำงานของSub-Woofer ยกตัวอย่างชิ้นดนตรีที่เกี่ยวข้อง กับความถี่ต่ำที่สำคัญช่วงนี้คือ - ออร์แกนท่อ / คีย์บอร์ด / ซินธีไซเซอร์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 20Hz - เปียโน สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 25Hz - ทูบา / ฮาร์พ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 30Hz - ดับเบิ้ลเบส สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 30Hz - ฮาร์ปซิคอร์ด สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 40Hz - เบสกีต้าร์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 40Hz - อคูสติค อิเลคทริกกีต้าร์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 80Hz - เฟรนซ์ฮอร์น / ทรอมโบน / บาสซูน สนองความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 60Hz - เทนเนอร์แซ็กซ์ สนองความถี่ช่วงต่ำลึกถึง 120Hz แม้แต่เสียงร้องของศิลปินนักร้องชายก็สนองตอบความถี่ช่วงต่ำลึกได้ถึง 100Hz ดังนั้น เราก็คงต้องมาวิเคราะห์ สิ่งที่เราได้ยินจากระบบลำโพง-เครื่องเสียงของเราว่า มันสนองความถี่ต่ำได้พอเพียงจริงไหม ถ้ารู้สึกว่า พอแล้ว ลำโพงสตูดิโอคู่เดียวก็ถือว่าจบ แต่ถ้าไม่… ตรงนี้ ก็ตัดสินใจว่า จะเพิ่ม Active Sub-Woofer หรือไม่ แล้วแต่ความรู้สึกของเราจะกำหนดลงไปครับ ถ้าสมมุติว่า ต้องเพิ่มความถี่ต่ำด้วย Active Sub-Woofer ซึ่งมันจะมีหลักต้องพิเคราะห์ อีกพอสมควร ผทจะมานำเสนอกันต่อในตอนถัดไป ใน The Light of Audiophile ตอนที่ 6 ครับ
The Light of Audiophile ตอนที่ 4 บทวิพากย์ วิธีการเล่นเครื่องเสียงหลากรูปแบบ ขออนุญาตตอกย้ำอีกครั้งในบทความชุดนี้นะครับ ว่าเป็นเรื่องของประสบการณ์ ความเห็นต่างๆ มีความผิด-ถูก มากน้อย จะมีความตรงต้องกับหลักวิชาการ หรือไม่ มาก-น้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทุกท่าน เพราะคือนี่คือประสบการณ์ของผมเท่านั้น จากนี้ไปจะบอกเล่า ถึงประสบการณ์การเล่นเครื่องเสียงรูปแบบหลากหลายที่ได้รับประสบการณ์มาตลอดช่วงชีวิตของการเล่นเครื่องเสียงครับ ดังที่กล่าวในบทที่ผ่านมา การเล่นเครื่องเสียง โดยสรุปมี 1. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว หรือถ้านับการเชื่อมต่อสายลำโพงจะถือเป็น Single-Wire 2. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน การเชื่อมต่อสายลำโพงจะเป็น Bi-Wire 3. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน การเชื่อมต่อสายลำโพง และแอมป์จะแยกอิสระ เป็น Bi-Amplifications หรือ Tri-Amplifications 4. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน แบบเพิ่ม Super-Tweeter เพิ่ม Active Sub-Woofer ในแต่ละรูปแบบหากกล่าวจากประสบการณ์จริงๆ โดยสรุป ไม่มีแบบใดดีที่สุด หรือแย่ที่สุด เป็นเพียงวิถีทางหรือกรรมวิธีการเข้าถึงคุณภาพ และศักยภาพของเสียง ตามความตั้งใจของผู้เล่นเครื่องเสียงเป็นหลัก 1. ระบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว แบบ Single-Wire มีข้อดีคือปราศจากความซับซ้อนใดๆ มีแหล่งโปรแกรมและแอมปลิไฟร์หนึ่งเครื่อง ลำโพงหนึ่งคู่ทุก อย่างเริ่มต้นและจบลงได้อย่างง่ายดาย โอกาสที่จะได้รับความผิดเพี้ยนจากการเชื่อมต่อระบบที่ซับซ้อนแทบไม่มี ซึ่งหากเลือกชุดเครื่องเสียงที่ดีและแมตชิ่งก็จะได้คุณภาพที่ดีมากเช่นกัน จุดอ่อนอาจจะไปอยู่ที่การปรับปรุงหรือการยกระดับนั้น อาจจะต้องลงทุนแบบยกอุปกรณ์ใหม่ไปเลย หมายถึงต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นชิ้นๆ ไป และอาจจะไม่ใช่ชิ้นเดียวด้วย ยกตัวอย่างเมื่อเล่นไประยะหนึ่ง แล้วต้องการเสียงที่มีรายละเอียดและพลังมากยิ่งขึ้น ต้องเปลี่ยนลำโพง รุ่นใหญ่กว่าเดิม ก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแอมป์รุ่นใหญ่ไปด้วย มิฉนั้นจะไม่สมดุลซึ่งกันและกัน ดังนั้น การเริ่มต้นเล่นแบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว แบบ Single-Wire สมควรต้อง “เผื่อแอมป์” หรือ “เผื่อลำโพง” ให้เป็นรุ่นที่สูงกว่าปกติ อย่างใดอย่างหนึ่งถ้าทำได้ เพราะเมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะได้ไม่ต้องใช้งบประมาณมากเกินจำเป็น หรือเกิดความยุ่งยากกว่า เปลี่ยนชิ้นหนึ่ง แล้วจะต้องเปลี่ยนอะไรตามมาอีก 2. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน ด้วยการเชื่อมต่อสายลำโพงเป็น Bi-Wire ในประสบการณ์ส่วนตัวผม ยอมรับว่าไม่ค่อยแนะนำวิธีการนี้ เพราะที่ผ่านมา ลำโพงแบบ ไบร์-ไวร์ หลายคู่ก็มักจะมีปัญหาอาการผิดเฟสได้ง่าย ถ้าแอมป์ที่ใช้ขับนั้นมีกำลังไม่มากพอ หรือศักยภาพในการควบคุมลำโพงไม่ถึง เมื่อการควบคุมย่านความถี่ อิมพิแดนซ์ต่างๆ ไม่แม่นยำ ผลตามมาคือเสียงแต่ละย่านความถี่เปลี่ยนแปลงวูบวาบเกือบตลอดเวลาของการเพลย์แบ็ค แต่ถ้าจัดระบบดี แอมป์ดี ลำโพงดี สายลำโพงดี เข้ากันหรือแมตช์กันได้ลงตัว ระบบนี้ก็จะมีข้อดีเด่นตรงเสียงจากลำโพงจะเปิดกว้างมากขึ้น เสียงหลุดลอยออกจากตู้ และมีมิติชัดเจนขึ้น แต่การใช้สายลำโพงสองชุด จากแอมป์ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ที่ไม่ค่อยจะคุ้มค่านัก ระหว่างใช้สายลำโพงรุ่นสูงๆ ชุดเดียว ในระบบ Single-Wire มักจะดีกว่า ระบบ Bi-Wire ที่ต้องแบ่งงบไปใช้สายลำโพงระดับปานกลางสองชุด ผมจึงไม่ค่อยแนะนำระบบ Bi-Wire ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ อีกประการหนึ่ง การเล่นระบบ Bi-Wire นั้น มักจะทำให้โทนัลบาลานซ์ของย่านความถี่ควบคุมยาก เสียงกลางแหลมมักจะพุ่งล้ำหน้าเกินจริง การประสานกันของตัวขับเสียงแหลมและเสียงทุ้ม เมื่อจะต้องทำการเปล่ง “เสียงกลาง” หรือช่วง Midrange ออกมาอาจจะลักลั่นกันได้ง่ายอีกด้วย เรียกว่ามีข้อดีตรงเสียงเปิดกว้างขึ้น แต่ถ้าในระบบมีอะไรเป็นจุดอ่อน ย่อมผิดเฟสได้ง่าย บางครั้งฟังขาดๆ เกินๆ ไม่เป็นธรรมชาตินัก จึงอยากให้ถือเป็นข้อพิจารณา ถ้าจะเล่นระบบ Bi-Wire ทุกอย่างในระบบต้องเข้าขั้นดีเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ 3. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน ทั้งการเชื่อมต่อสายลำโพง และแอมป์จะเป็น Bi-Amplifications แยกส่วนทั้งหมด อาจจะมากกว่า เช่นเป็น Tri-Amplifications ก็เป็นไปได้ เพราะรูปแบบนี้ เริ่มมาจากระบบงาน PA หรือ Professional ที่สามารถแยกย่านความถี่ ตั้งแต่ 2 ถึง 4 หรือ 5 ย่านความถี่ ให้แอมปลิไฟร์ขับลำโพง แต่ย่านความถี่อย่างอิสระ ดังที่เรียนได้ว่าอะไรก็ตามที่เป็นระบบที่มีความสลับซับซ้อนสูง ก็จะอาจจะเกิดจุดความเพี้ยนของรอยต่อ ได้เสมอ ต้องพิจารณาตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ ครอสโอเวอร์ ปรีแอมป์ เพาเวอร์แอมป์ สายสัญญาณ สายลำโพง ต่อเชื่อมระหว่างระบบอย่างรอบคอบที่สุด มิฉะนั้นระบบขนาดใหญ่เช่นนี้ จะผิดพลาดได้ทุกจุด ข้อดี ก็คือเราสามารถควบคุมกำหนดคุณภาพเสียง ศักยภาพเสียงระดับความดังย่านความถี่ ที่ปรับแต่งให้เป็นไปตามความต้องการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไปจนถึงจุด “อุดมคติ” ได้ แต่ในความใหญ่ของระบบนั้น ก็จะมักจะแลกมาด้วย ความประณีตพิถีพิถัน ความชำนาญของการจัดซิสเต็ม การจูนอัพ การเซ็ตอัพที่เพียบพร้อมจริงๆ เพราะหากพลาดจุดใด จุดหนึ่ง มีสิทธิ์ที่จะยุ่งเหยิง แก้ไขปัญหาไม่จบสิ้นได้ด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันมีลำโพงระดับไฮเอ็นด์บางคู่มีข้อแนะนำเรื่องของแอมปลิไฟร์ ที่จะใช้ในระบบ Bi-Amplifications หรือ Tri-Amplifications รวมถึงบางรุ่น ภายในตู้ได้บรรจุแอมป์ขับลำโพงเสียงทุ้ม ซับวูฟเฟอร์มาในตัวอีกต่างหาก หรือลำโพงบางคู่มีเครื่องอีเล็กทรอนิกส์ครอสโอเวอร์มาให้เสร็จสรรพ เพื่อตัดแบ่งความถี่ให้กับแอมป์ ผมไม่แนะนำให้นักเล่นมือใหม่ลงไปเล่นถึงระบบ แยกแอมปลิไฟร์ขับในแต่ย่านความถี่แบบนี้นะครับ ถ้าไม่มีผู้เชี่ยวชาญปรับแต่ง จูนอัพ และติดตั้งให้ เข้าทำนองว่า ระบบที่ใหญ่ที่สุดแบบนี้ พร้อมจะดีอย่างน่าใจหาย และพร้อมจะร้ายจนปวดศีรษะ ไม่เว้นแต่ละวันก็ได้เช่นเดียวกัน 4. การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน แบบเพิ่ม Super-Tweeter เพิ่ม Active Sub-Woofer ระบบนี้ แรกสุดเป็นการออกแบบเพื่อแก้ไขความถี่ไม่สมบูรณ์ของระบบเสียง ที่อาจจะเนื่องมาจาก ข้อจำกัดของระบบ หรือสภาพอะคูสติกต่างๆ ที่ทำให้ย่านความถี่ไม่ครบตามที่ต้องการ แบบแรก เสริมตัวขับความถี่สูงสุดโดยเฉพาะ คือ Super-Tweeter เข้าไปในลำโพงเดิม ด้วยการต่อพ่วงเข้าไปในชุดลำโพงเดิม แบบที่สอง เสริม Sub-Woofer เข้าไปในลำโพงชุดเดิม วิธีการนี้ก็คือ เป็นการเสริมการเล่นแบบสเตอริโอเชิงเดี่ยว ด้วยการเพิ่มอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง คือเพิ่มความถี่สูงช่วงบน และความถี่ต่ำช่วงล่าง กรณีของซูเปอร์ทวีตเตอร์ คือการเพิ่มย่านความถี่สูง ที่สูงกว่า 20kHz ขึ้นไป จนถึง 50,000Hz ซึ่งย่านความถี่ตรงนี้ เริ่มมีการให้ความสำคัญอันเนื่องมาจาก การกำเนิดของระบบดิจิตอลออดิโอ Super Audio CD รวมถึงความต้องการสนองตอบดนตรีสมัยใหม่ที่ใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น ผู้ออกแบบซูเปอร์ทวีตเตอร์ให้คำอธิบายว่า ลำโพงซึ่งตอบสนองความถี่ 20 ถึง 20,000 เฮิร์ตซ์ทั้งหลาย ในความเป็นจริงนั้น ย่านความถี่ช่วงปลายที่ 20,000 เฮิร์ตซ์ จะมีลักษณะเอียงลาดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ยินความถี่ช่วงปลายได้ไม่ถึง 20,000 เฮิร์ตซ์จริง ซูเปอร์ทวีตเตอร์จึงเข้ามาช่วยต่อเติมย่านความถี่ตรงนี้ ให้ย่านความถี่เสียงแหลมนั้นไปไกลสูงสุดยิ่งขึ้น การเสริมซูเปอร์ทวีตเตอร์จะทำให้เสียงโดยรวมของลำโพงนั้น มีย่านความถี่ช่วงปลายที่มีรายละเอียดสูงมากยิ่งขึ้น โดยซูเปอร์ทวีตเตอร์ อาจจะออกแบบให้มีตัวปรับหรือเลือกย่านความถี่จุดตัดที่เหมาะสมจากตัวซูเปอร์ทวีตเตอร์ด้วย การเสริมซูเปอร์ทวีตเตอร์นั้นมักไม่ค่อยมีผลเอฟเฟ็กต์อะไรรุนแรงกับลำโพงเดิม เป็นการจัดการเซ็ตอัพที่ง่าย แต่ควรจะถามตัวเองด้วยว่าเรายังขาดความถี่ช่วงปลายเสียงแหลมจริงหรือไม่ และถ้าขาดเราจะเพิ่ม ซูเปอร์ทวีตเตอร์ของแบรนด์ใดเข้าไปในระบบจึงจะเหมาะที่สุด โดยไม่ทำให้บุคลิกดั้งเดิมของลำโพงหลักนั้นเปลี่ยนแปลงไป แบบที่สอง การเล่นในระบบสเตอริโอเชิงซ้อน แบบเพิ่ม Active Sub-Woofer ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน มีการพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์กันมากในเรื่องของการเสริม Active Sub-Woofer เข้าไปในระบบดั้งเดิมที่เป็นสเตอริโอโฟนิค ทางสายหนึ่งก็มีการแอนตี้ ว่าไม่ดี อีกทางสายหนึ่งก็เปิดรับว่าเป็นการเสริมย่านความถี่เสียงต่ำ ที่ทำให้ระบบนั้น สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในฐานะผมเป็นนักเล่นซึ่งมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเสียงดนตรีจริงที่เวทีคอนเสิร์ต ในคอนเสิร์ตฮอลล์ รวมถึงลงไปทำงาน ในห้องบันทึกเสียง กับ Sound Engineer ซึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงเพลงต่างๆ ให้เราได้ฟัง อยากจะเสนอความคิดเห็นว่า หากวัดด้วยอัตราส่วนการย่อสเกลดนตรีจริง ลงมาอยู่ในห้องฟัง สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในระบบเสียงนั้น - หากขาด เราก็สามารถเติมเข้าไปได้ - หรือสิ่งใดที่พอดีอยู่แล้วก็ไม่ควรจะเสริมเข้าไป ทุกสิ่งอยู่ที่วิจารณญาณ และความพึงใจของผู้ที่เป็นเจ้าของซิสเต็มเอง เราก็ต้องยอมรับกันว่าย่านความถี่เสียงต่ำลึกนั้นเป็นเรื่องที่เป็นปัญหามาตลอดสำหรับผู้ที่เล่นระบบเสียงภายในบ้าน ลำโพงคู่หนึ่งๆ คู่เดียว อาจจะไม่สามารถลงความถี่ต่ำลึกได้อย่างพอเพียง จึงได้เกิดวิธีการเล่นด้วยการเสริม Active Sub-Woofer เข้าไปในระบบ ดังที่เรียนไว้เบื้องต้นว่าการเล่นเครื่องเสียงด้วยวิธีการใดก็ตาม จะไม่มีวิธีใด ที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด แต่อาจจะมีวิธี ซึ่งเราทุกคนสามารถไปถึงยังจุดหมายได้อย่างสมบูรณ์ การเสริม Active Sub-Woofer เข้าไปในระบบนั้น แรกเริ่มเดิมที มีผู้ออกแบบผู้ผลิตลำโพงหลายบริษัท มีการนำเสนอ Active Sub-Woofer ให้กับลำโพงบางรุ่นของเขา เพื่อให้ได้ความถี่อันครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดเจนก็คือ Rogers LS3/5A ที่มีการออกแบบ AB-3a ลำโพง Active Sub-Woofer ให้สามารถเสริมความถี่ต่ำเข้าไปได้ มีจุดตัดความถี่ มีที่ปรับระดับอินพุต เฟสบาล้านซ์ ให้กลมกลืน ในห้องที่อาจจะมีความแปลกแยกแตกต่างกันไป จุดเด่นของการใช้ Active Sub-Woofer ก็คือ ถ้าจัดวางตำแหน่งและเซ็ตอัพได้ถูกต้อง ใช้จำนวนตู้ Sub ให้พอดีกับสเกลของเสียงดนตรี (ไม่มากเกินหรือน้อยเกิน) การฟังเพลงจากชุดเครื่องเสียงจะดูสมจริงมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของการเซ็ตอัพหรือการใช้จำนวนตู้ Active Sub-Woofer เนื่องจากว่าย่านความถี่ต่ำนั้นคลื่นความถี่ค่อนข้างยาวมากกว่าความถี่อื่น (แม้ว่าเสียงจะเดินทางมาถึงเราพร้อมกัน) แต่ความถี่ต่ำก็มักจะเป็นมลพิษขึ้นมาได้เช่นกัน อาทิเกิดเสียงเบสบวมทั้งห้อง เสียงเบสเข้าไปกลบเสียงกลางแหลมเป็นต้น ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับวิธีการเสริมการใช้งาน การเซ็ตอัพที่เหมาะสมในแต่ละซิสเต็ม ผมจะขอนำมาบอกเล่าประสบการณ์ในตอนถัดไปเพื่อที่ว่าบทความในแต่ละตอนจะไม่ยาวเกินไป พบกันในในตอนที่ 5 ครับ